ตอนที่ 3 ตะลุยปารีส (ตอนจบ)
------------------------
ผมเดินทางมาถึงปารีสช่วงสายๆของวันศุกร์ และมีเวลาให้เที่ยวแค่ครึ่งบ่ายของวันนั้น เนื่องจากวันเสาร์ต้องนั่งรถไฟอีกกว่า 8 ชั่วโมงเพื่อเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านที่โทรเกน St. Gallen ทางตอนเหนือของสวิส เนื่องจากมีนัดกับโฮสต์ของผม เพื่อไปเที่ยวออสเตรียด้วยกันในวันอาทิตย์ เมื่อมีเวลาจำกัดผมต้องตัดสถานที่หลายแห่งออกไปจากที่ตั้งใจไว้แต่แรก โดยก่อนจะเดินทางผมเข้าไปค้นเจอในเว็บไชต์ “กระปุกดอทคอม” เกี่ยวกับสถานที่ 10 แห่งที่ไม่ควรพลาดชมเมื่อไปเที่ยวปารีส ซึ่งแต่ละที่ก็น่าสนใจมากไม่แพ้กันเลย ผมคัดเป้าหมายให้เหลือเพียงสามแห่ง คือ เยี่ยมชมหอไอเฟล ต่อด้วยวิหารกลางน้ำ จากนั้นปิดท้ายด้วยการนั่งรถบัสเปิดหลังคาเที่ยวชมรอบเมือง ผมเดินทางโดยรถไฟใต้ดินเป็นหลักครับ เพราะคิดว่าน่าจะสะดวกและรวดเร็วที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ง่ายไปซะทีเดียว เพราะปารีสเป็นเมืองที่ผู้คนค่อนข้างแออัด ดังนั้นจึงต้องเบียดเสียดกันบนรถไฟ ตลอดทั้งบ่ายของวันนั้นผมไม่เคยมีที่นั่งเลย ต้องยืนโหนไปตลอดจนอาการปวดเท้าจากที่เดินในช่วงเช้ากลับมาอีกครั้ง และด้วยความใหญ่โตของเมืองนี้ โดยเฉพาะความกว้างใหญ่ของสถานีรถไฟ เมื่อลงจากสายหนึ่งเพื่อไปขึ้นอีกสายหนึ่ง บางทีก็ต้องเดินไกลถึงแปดร้อยเมตรเลยทีเดียว ประกอบกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวใต้ดิน และอากาศที่ร้อนระอุบนดิน พอผมมาโผล่ที่สถานีฝั่งตรงข้ามหอไอเฟลเดินตรงออกมาจะเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งเหมือนกัน แต่ตอนนั้นผมไม่มีกะจิตกะใจจะดื่มด่ำกับมนต์เสน่ห์ของเมืองนี้อีกแล้ว แม้จะมองเห็นหอไอเฟลอยู่ห่างออกไปแค่อีกฝั่งของแม่น้ำก็ตาม ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจอะไร ผมเริ่มรู้สึกตาลายและมองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด อาจเพราะอากาศที่ร้อนจัดและผมยังไม่ทานข้าวเที่ยง จึงเดินไปที่สวนสาธารณะหาที่นั่งหลบร้อนใต้ต้นไม้ ถอดรองเท้าและถุงเท้าออกให้เท้าได้ผ่อนคลายและคลายความปวดลงบ้าง ปูแผนที่ลงกับผืนหญ้าแล้วเอนกลายลงนอนทับไว้ รูดซิบปิดกระเป๋าเสื้อทุกช่องเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาฉกอะไรขณะที่เผลอหลับไป หรือทำอะไรหล่นไว้ พร้อมทั้งเอาสายคล้องคอของกล้องถายรูปพันไว้กับแขน หลับตาลงเบาๆ ผ่านไปสักพักเสียงผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ เริ่มเบาลง เบาลง และเลือนลางไป จนผมงีบหลับไปในที่สุด พอตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาผมหลับไปได้เกือบยี่สิบนาที ลุกขึ้นมานั่งบิดขี้เกียจ รู้สึกว่าอาการอ่อนเพลียทุเลาลงบ้างจึงใส่รองเท้า พับแผนที่แล้วเดินทางไปริมแม่น้ำเพื่อข้ามสะพานไปยังคอหอย เดินไปผมก็เก็บภาพไปบ้างเห็นนักท่องเที่ยวเดินข้ามถนนกันขวักไขว่ รถบัสนำเที่ยวแบบเปิดหลังคาวิ่งผ่านไปมาหลายคัน บางคันก็มีคนนั่งคนนั่งเต็มดาดฟ้า และบางคนก็ดูไม่แน่นมากนักยังมีที่นั่งว่างอยู่ ผมพยายามไปอ่านข้อมูลตามป้ายจอดรถบัสโดยสารประจำทางว่า จะต้องทำยังไงจึงจะได้ขึ้นไปนั่งชมวิวบนนั้นแต่ก็ไม่เจออะไร จึงเดินข้ามถนนและตรงไปที่สะพานข้ามแม่น้ำเซน ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองปารีส “หอไอเฟล” สถานที่ในฝันของหลายคนรวมทั้งผมด้วย (ก่อนหน้านี้) ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า น่าทึ่งสมคำร่ำลือครับ เหล็กกล้าต่างรูปทรงต่างขนาด ถูกนำมาเชื่อมต่อเข้ากัน มีฐานที่มั่นคงทั้งสี่ด้านคอยค้ำชู้ให้ยอดสูงชันของหอคอยแห่งนี้ ได้ยืนสง่าท้าทายควาสูงของแผ่นฟ้าอย่างแข็งแกร่งมานานหลายปี ผมเดินไปถึงฐานหรือจะเรียกว่าขาหรือเสาของหอคอยยักษ์ก็ได้ครับ ซึ่งเป็นทางขึ้นชมหอคอย มีผู้คนต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อขึ้นไปชมวิวจากบนหอคอย โดยมีการแบ่งความสูงออกเป็นสามระดับ สองระดับแรกคือช่วงแรกและช่วงกลางสามารถเดินขึ้นไปได้ แต่ไม่ว่าจะเดินหรือใช้ลิฟ ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมและต่อคิวเพื่อตรวจสัมภาระและผ่านระบบการรักษาความปลอดภัยเสียก่อน แต่หากจะขึ้นไปถึงยอดของหอคอยต้องขึ้นลิฟเพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ มีคำแนะนำว่าให้ไปหลังหกโมงเย็นช่วงนั้นคนจะไม่เยอะมาก รอคิวไม่นานก็ได้ขึ้นไปชมความงดงามของเมืองปารีสจากยอดหอคอยครับ ส่วนผมขอสละโอกาสนี้ไปก่อนครับ ร่างกายไม่ไหวจริงๆ จึงเดินวนเก็บภาพอยู่ด้านข้างหามุมแปลกถ่ายภาพเล่น เดินวนไปมากระทั่งเจอสถานที่จอดรับผู้โดยสารของรถบัสเปิดหลังคา ผมจึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าสามารถใช้ตั๋วแบบนี้ได้หรือเปล่าครับ พร้อมชูตั๋วแบบวันเดย์ทิคเก็ตให้เขาดู เขาบอกว่าต้องซื้อตั๋วต่างหาก ราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่อยู่ คือ 30 ยูโรต่อวัน และ 16 ยูโรสำหรับครึ่งวัน ผมจึงกล่าวขอบคุณและบอกเอาไว้โอกาสหน้าละกันครับ เขายิ้มให้แล้วยังใจดีแถมแผนที่ท่องเที่ยวให้ผมอีกหนึ่งฉบับ ผมรับแผนที่ไว้แล้วกำลังจะเดินไปขึ้นรถไฟเพื่อไปยังเป้าหมายต่อไป ทันใดนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาหาพร้อมขอให้ผมช่วยลงชื่อแผ่นกระดาษ ที่ทำเป็นตารางพร้อมมีสัญลักณ์ สำหรับคนพิการอยู่ตรงมุมบนทั้งสองข้าง เธอบอกว่าเป็นการลงชื่อสนับสนุนและส่งเสริมสิทธิผู้พิการ ผมเห็นว่าก็ดีสิ จึงเขียนชื่อ นามสกุล พร้อมทั้งชื่อประเทศ ก่อนลงลายมือชื่อซ้ำอีกทีที่ช่องสุดท้ายของตาราง จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่ช่องกลางของตารางถามว่าผมจะบริจาคเท่าไร ผมงงนิดๆ ถามด้วยความสงสัยว่า “นี่ผมต้องบริจาคด้วยเหรอ? นึกว่าแค่ลงชื่อเฉยๆ” เธอบอกว่า ต้องบริจาคด้วย ผมเริ่มรู้สึกว่าการร่วมบริจาคเป็นไปด้วยการถูกบังคับ บังเอิญผมมีแค่เหรียญ 2 ยูโรอยู่ในช่องเก็บเหรียญของกระเป๋าสตางค์ นอกนั้นเป็นธนบัตรตั้งแต่สิบยูโรขึ้นไป เธอปฏิเสธเงินสองยูโรเหรียญนั้นของผม และทำท่าไม่พอใจ และเริ่มเสียงดังใส่ผมว่า “ต้องบริจาคขั้นต่ำ 5 ยูโรขึ้นไป” พร้อมทั้งชี้ให้ดูรายการของคนที่ลงชื่อก่อนหน้าผมว่า มีตั้งแต่ห้าถึงสิบยูโรขึ้นไป ถ้าผมไม่มีเงินย่อยเขามีเงินทอนให้ และยังตื๊อไม่เลิก ผมเลยเสียงแข็งใส่บ้าง “ถ้างั้นส่งกระดาษนั่นมา ผมจะขีดชื่อออกและคืนเงินผมมาด้วย!” ผมคว้ากระดาษแผ่นนั้นจากมือเธอด้วยความหงุดหงิด แต่เธอก็ฉกกลับไปทันที แล้วมีเพื่อนคนหนึ่งเดินมาสมทบ เธอหันไปบ่นกับเพื่อนแล้วเดินจากไป ระหว่างที่ก้าวเดินออกมา ก็มีอีกหลายคนที่เดินมาถามผมแบบเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำเป็นเรื่องถูกกฎหมายของฝรั่งเศสหรือเปล่า และทำไมเขาทำอย่างโจ่งแจ้งขนาดนั้น ที่สำคัญเขาเลือกเฉพาะเป้าหมายที่ใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้น ใครเคยเจอแบบนี้หรือมีข้อมูลก็ลองแบ่งปันกันดูนะครับ
------------------------
ผมเดินทางมาถึงปารีสช่วงสายๆของวันศุกร์ และมีเวลาให้เที่ยวแค่ครึ่งบ่ายของวันนั้น เนื่องจากวันเสาร์ต้องนั่งรถไฟอีกกว่า 8 ชั่วโมงเพื่อเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านที่โทรเกน St. Gallen ทางตอนเหนือของสวิส เนื่องจากมีนัดกับโฮสต์ของผม เพื่อไปเที่ยวออสเตรียด้วยกันในวันอาทิตย์ เมื่อมีเวลาจำกัดผมต้องตัดสถานที่หลายแห่งออกไปจากที่ตั้งใจไว้แต่แรก โดยก่อนจะเดินทางผมเข้าไปค้นเจอในเว็บไชต์ “กระปุกดอทคอม” เกี่ยวกับสถานที่ 10 แห่งที่ไม่ควรพลาดชมเมื่อไปเที่ยวปารีส ซึ่งแต่ละที่ก็น่าสนใจมากไม่แพ้กันเลย ผมคัดเป้าหมายให้เหลือเพียงสามแห่ง คือ เยี่ยมชมหอไอเฟล ต่อด้วยวิหารกลางน้ำ จากนั้นปิดท้ายด้วยการนั่งรถบัสเปิดหลังคาเที่ยวชมรอบเมือง ผมเดินทางโดยรถไฟใต้ดินเป็นหลักครับ เพราะคิดว่าน่าจะสะดวกและรวดเร็วที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ง่ายไปซะทีเดียว เพราะปารีสเป็นเมืองที่ผู้คนค่อนข้างแออัด ดังนั้นจึงต้องเบียดเสียดกันบนรถไฟ ตลอดทั้งบ่ายของวันนั้นผมไม่เคยมีที่นั่งเลย ต้องยืนโหนไปตลอดจนอาการปวดเท้าจากที่เดินในช่วงเช้ากลับมาอีกครั้ง และด้วยความใหญ่โตของเมืองนี้ โดยเฉพาะความกว้างใหญ่ของสถานีรถไฟ เมื่อลงจากสายหนึ่งเพื่อไปขึ้นอีกสายหนึ่ง บางทีก็ต้องเดินไกลถึงแปดร้อยเมตรเลยทีเดียว ประกอบกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวใต้ดิน และอากาศที่ร้อนระอุบนดิน พอผมมาโผล่ที่สถานีฝั่งตรงข้ามหอไอเฟลเดินตรงออกมาจะเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งเหมือนกัน แต่ตอนนั้นผมไม่มีกะจิตกะใจจะดื่มด่ำกับมนต์เสน่ห์ของเมืองนี้อีกแล้ว แม้จะมองเห็นหอไอเฟลอยู่ห่างออกไปแค่อีกฝั่งของแม่น้ำก็ตาม ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจอะไร ผมเริ่มรู้สึกตาลายและมองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด อาจเพราะอากาศที่ร้อนจัดและผมยังไม่ทานข้าวเที่ยง จึงเดินไปที่สวนสาธารณะหาที่นั่งหลบร้อนใต้ต้นไม้ ถอดรองเท้าและถุงเท้าออกให้เท้าได้ผ่อนคลายและคลายความปวดลงบ้าง ปูแผนที่ลงกับผืนหญ้าแล้วเอนกลายลงนอนทับไว้ รูดซิบปิดกระเป๋าเสื้อทุกช่องเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาฉกอะไรขณะที่เผลอหลับไป หรือทำอะไรหล่นไว้ พร้อมทั้งเอาสายคล้องคอของกล้องถายรูปพันไว้กับแขน หลับตาลงเบาๆ ผ่านไปสักพักเสียงผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ เริ่มเบาลง เบาลง และเลือนลางไป จนผมงีบหลับไปในที่สุด พอตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาผมหลับไปได้เกือบยี่สิบนาที ลุกขึ้นมานั่งบิดขี้เกียจ รู้สึกว่าอาการอ่อนเพลียทุเลาลงบ้างจึงใส่รองเท้า พับแผนที่แล้วเดินทางไปริมแม่น้ำเพื่อข้ามสะพานไปยังคอหอย เดินไปผมก็เก็บภาพไปบ้างเห็นนักท่องเที่ยวเดินข้ามถนนกันขวักไขว่ รถบัสนำเที่ยวแบบเปิดหลังคาวิ่งผ่านไปมาหลายคัน บางคันก็มีคนนั่งคนนั่งเต็มดาดฟ้า และบางคนก็ดูไม่แน่นมากนักยังมีที่นั่งว่างอยู่ ผมพยายามไปอ่านข้อมูลตามป้ายจอดรถบัสโดยสารประจำทางว่า จะต้องทำยังไงจึงจะได้ขึ้นไปนั่งชมวิวบนนั้นแต่ก็ไม่เจออะไร จึงเดินข้ามถนนและตรงไปที่สะพานข้ามแม่น้ำเซน ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองปารีส “หอไอเฟล” สถานที่ในฝันของหลายคนรวมทั้งผมด้วย (ก่อนหน้านี้) ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า น่าทึ่งสมคำร่ำลือครับ เหล็กกล้าต่างรูปทรงต่างขนาด ถูกนำมาเชื่อมต่อเข้ากัน มีฐานที่มั่นคงทั้งสี่ด้านคอยค้ำชู้ให้ยอดสูงชันของหอคอยแห่งนี้ ได้ยืนสง่าท้าทายควาสูงของแผ่นฟ้าอย่างแข็งแกร่งมานานหลายปี ผมเดินไปถึงฐานหรือจะเรียกว่าขาหรือเสาของหอคอยยักษ์ก็ได้ครับ ซึ่งเป็นทางขึ้นชมหอคอย มีผู้คนต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อขึ้นไปชมวิวจากบนหอคอย โดยมีการแบ่งความสูงออกเป็นสามระดับ สองระดับแรกคือช่วงแรกและช่วงกลางสามารถเดินขึ้นไปได้ แต่ไม่ว่าจะเดินหรือใช้ลิฟ ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมและต่อคิวเพื่อตรวจสัมภาระและผ่านระบบการรักษาความปลอดภัยเสียก่อน แต่หากจะขึ้นไปถึงยอดของหอคอยต้องขึ้นลิฟเพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ มีคำแนะนำว่าให้ไปหลังหกโมงเย็นช่วงนั้นคนจะไม่เยอะมาก รอคิวไม่นานก็ได้ขึ้นไปชมความงดงามของเมืองปารีสจากยอดหอคอยครับ ส่วนผมขอสละโอกาสนี้ไปก่อนครับ ร่างกายไม่ไหวจริงๆ จึงเดินวนเก็บภาพอยู่ด้านข้างหามุมแปลกถ่ายภาพเล่น เดินวนไปมากระทั่งเจอสถานที่จอดรับผู้โดยสารของรถบัสเปิดหลังคา ผมจึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าสามารถใช้ตั๋วแบบนี้ได้หรือเปล่าครับ พร้อมชูตั๋วแบบวันเดย์ทิคเก็ตให้เขาดู เขาบอกว่าต้องซื้อตั๋วต่างหาก ราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่อยู่ คือ 30 ยูโรต่อวัน และ 16 ยูโรสำหรับครึ่งวัน ผมจึงกล่าวขอบคุณและบอกเอาไว้โอกาสหน้าละกันครับ เขายิ้มให้แล้วยังใจดีแถมแผนที่ท่องเที่ยวให้ผมอีกหนึ่งฉบับ ผมรับแผนที่ไว้แล้วกำลังจะเดินไปขึ้นรถไฟเพื่อไปยังเป้าหมายต่อไป ทันใดนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาหาพร้อมขอให้ผมช่วยลงชื่อแผ่นกระดาษ ที่ทำเป็นตารางพร้อมมีสัญลักณ์ สำหรับคนพิการอยู่ตรงมุมบนทั้งสองข้าง เธอบอกว่าเป็นการลงชื่อสนับสนุนและส่งเสริมสิทธิผู้พิการ ผมเห็นว่าก็ดีสิ จึงเขียนชื่อ นามสกุล พร้อมทั้งชื่อประเทศ ก่อนลงลายมือชื่อซ้ำอีกทีที่ช่องสุดท้ายของตาราง จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่ช่องกลางของตารางถามว่าผมจะบริจาคเท่าไร ผมงงนิดๆ ถามด้วยความสงสัยว่า “นี่ผมต้องบริจาคด้วยเหรอ? นึกว่าแค่ลงชื่อเฉยๆ” เธอบอกว่า ต้องบริจาคด้วย ผมเริ่มรู้สึกว่าการร่วมบริจาคเป็นไปด้วยการถูกบังคับ บังเอิญผมมีแค่เหรียญ 2 ยูโรอยู่ในช่องเก็บเหรียญของกระเป๋าสตางค์ นอกนั้นเป็นธนบัตรตั้งแต่สิบยูโรขึ้นไป เธอปฏิเสธเงินสองยูโรเหรียญนั้นของผม และทำท่าไม่พอใจ และเริ่มเสียงดังใส่ผมว่า “ต้องบริจาคขั้นต่ำ 5 ยูโรขึ้นไป” พร้อมทั้งชี้ให้ดูรายการของคนที่ลงชื่อก่อนหน้าผมว่า มีตั้งแต่ห้าถึงสิบยูโรขึ้นไป ถ้าผมไม่มีเงินย่อยเขามีเงินทอนให้ และยังตื๊อไม่เลิก ผมเลยเสียงแข็งใส่บ้าง “ถ้างั้นส่งกระดาษนั่นมา ผมจะขีดชื่อออกและคืนเงินผมมาด้วย!” ผมคว้ากระดาษแผ่นนั้นจากมือเธอด้วยความหงุดหงิด แต่เธอก็ฉกกลับไปทันที แล้วมีเพื่อนคนหนึ่งเดินมาสมทบ เธอหันไปบ่นกับเพื่อนแล้วเดินจากไป ระหว่างที่ก้าวเดินออกมา ก็มีอีกหลายคนที่เดินมาถามผมแบบเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำเป็นเรื่องถูกกฎหมายของฝรั่งเศสหรือเปล่า และทำไมเขาทำอย่างโจ่งแจ้งขนาดนั้น ที่สำคัญเขาเลือกเฉพาะเป้าหมายที่ใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้น ใครเคยเจอแบบนี้หรือมีข้อมูลก็ลองแบ่งปันกันดูนะครับ
ต่อมาผมมุ่งหน้าไปเยี่ยมชมเมืองกลางน้ำ เดินไปมาได้เพียงครู่เดียวรู้สึกว่าสถาปัตยกรรมที่นี่มันใหญ่โตมาก และกว้างใหญ่เกินไป จนไม่รู้ว่าจะเลือกชมส่วนไหน หรือต้องเที่ยวชมยังไงให้ทั่วถึง ความอ่อนเพลีย บวกกับอากาศที่ร้อนระอุ ทำให้ไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ใดๆเหลืออยู่ และรู้สึกว่าอยากพักผ่อนเต็มทีแล้ว จึงก็เดินกลับมาขึ้นรถไฟเพื่อไปซื้อตั๋วขากลับและทำความคุ้นเคยกับเส้นทางใหม่จากสถานีหลักถึงที่พัก สาเหตุที่ไม่ซื้อตั๋วแบบไปกลับตั้งแต่ตอนแรก เพราะผมเซ็คดูแล้วพบว่าแพงกว่าขามาถึงสองเท่าคือ 120 ยูโร จึงคิดว่ามาซื้อที่นี่อาจได้ราคาถูกกว่า คราวนี้ผมเดินไปที่ห้องจำหน่ายตั๋วรับบัตรคิวจากเจ้าหน้าที่ แล้วนั่งรอประมาณชั่วโมงกว่า จึงได้ตั๋วกลับเจนีวาในวันเสาร์รถออกตอนเที่ยงสิบเอ็ดนาที และแอบดีใจนิดๆที่จ่ายค่าตั๋วเพียง 90 ยูโรเท่านั้น ถูกกว่าในเจนีวาจริงๆด้วย แต่ด้วยความเซ่อซ่า พอกลับมาถึงห้องเอาตั๋วขึ้นมาดูอีกที ปรากฎว่าเป็นตั๋วเฟิร์สคลาสซะงั้น ก็เลยคิดว่าไหนๆก็จ่ายไปแล้ว ขากลับได้นั่งมาแบบสบายหน่อยก็ดีเหมือนกัน
นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องวุ่นๆอีกมากมายครับในทริปนี้ เช่นนอนตื่นสายจนเกือบไปสถานีไม่ทัน เพราะตั้งปลุกแล้วแล้วเสียบหูฟังไว้ จึงไม่ได้ยินเสียงปลุก เมื่อไปถึงสถานีก็เกือบตกรถไฟเพราะไปนั่งรอผิดช่อง เป็นการเดินทางที่ทั้งทรหด วุ่นวาย เหนื่อย และก็คุ้มค่ากับประสบการณ์ที่ได้รับครับ ปารีสสำหรับผมในครั้งนี้อาจเป็นการท่องเที่ยวที่ไม่สมบูรณ์แบบมากนัก แต่ผมก็ประทับใจหลายๆอย่างครับ โดยเฉพาะเหตุการณ์ก่อนเดินทาง และระหว่างเดินทาง และเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “บางครั้งการเดินทาง สำคัญกว่าปลายทาง” หากมีโอกาสก็ยังอยากกลับมาชื่นชมเมืองนี้อีกครั้งครับ ในช่วงฤดูหนาวและไม่ต้องเร่งรีบ คงเก็บความทรงจำดีๆได้ไม่น้อยเลยครับ อย่างไรก็ตามการเดินทางช่วงสั้นๆนี้จะเป็นประสบการณ์และความทรงจำที่ดีที่สุดของผมอีกเรื่องหนึ่งครับ
ตอนต่อไป ทริปออสเตรียครับ