การผจญภัย ตอนที่ 1 (เขียนจากเรื่องจริง แต่อาจไร้สาระไปนิดครับ)
เรื่องเดิมเรื่องใจโลเลว่าจะตัดสินใจไปเที่ยวดีหรือไม่ กว่าจะตกลงปลงใจว่าไปก็เกือบไม่ทันการณ์ แล้วต้องเร่งตระเตรียมการเดินทางแบบกระชั้นชิด เริ่มด้วยการซื้อตั๋วตอนหกโมงเช้า ของวันที่ 25 มิถุนายน เพื่อจะเดินทางในวันรุ่งขึ้น เวลา 06.13 น. เหมือนทุกอย่างจะราบรื่น แต่บังเอิญบางอย่างไม่เป็นไปตามแผน เรื่องวุ่นๆก็เลยเกิดขึ้นครับ...
วันพฤหัสบดีที่ 25 เป็นวันสุดท้ายของการฝึกงานในเจนีวาและตัดสินใจจะไปเที่ยวปารีสในวันรุ่งขึ้น ซึ่งได้จัดการซื้อตั๋วและจองที่พักอย่างเรียบร้อย ซึ่งต้องออกเดินทางจากเจนีวา เวลา 06.13 น. แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านพักเห็นป้ายประกาศรถประจำทางหยุดให้บริการในช่วงเช้า เป็นเวลา 3 วัน เนื่องจากมีการก่อสร้างถนน งานเข้าสิครับ ตอนนั้นมีทางเลือกอยู่ 3 ทาง คือ วิธีแรกโทรไปเลื่อนตั๋ว ปรากฎว่าเค้าน์เตอร์ปิดทำการแล้ว ไม่สามารถดำเนินการได้ ทางที่สองอาจเสี่ยงหน่อย คือเรียกใช้บริการแท็กซี่ ซึ่งต้องออกเดินทางจากที่พักตั้งแต่ตีสี่ แต่ปรากฎว่าพี่แท็กซี่พูดแต่ภาษาฝรั่งเศส ทำเอาเบลอกันทั้งคู่ เหลือทางเลือกสุดท้ายคือเก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วแบกขึ้นรถมาลงที่เจนีวา เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่สถานีรถไฟ ซึ่งเป็นตู้รับฝากอัตโนมัติ แบบไม่มีกุญแจให้ แต่ต้องรับเป็นใบเสร็จแล้วแสกนบาร์โค้ดแทนเมื่อต้องการรับกระเป๋าคืน เสียค่าบริการครั้งละ 8 สวิสฟรังค์ เพื่อความมั่นใจเลยลองแสกนบาร์โค้ดดู ประตูเปิดทันที แต่หารู้ไม่ว่ามันใช้ได้แค่ครั้งเดียว เลยต้องหยอดเหรียญเข้าไปเพื่อฝากอีกครั้งหนึ่ง สรุปแล้ว หมดไป 16 เหรียญกับการซื้อบทเรียนตู้รับฝากสัมภาระอัตโนมัติ ตอนนี้ก็เหลือแต่ตัวเปล่ากับกระเป๋าตังค์ค่อยสบายตัวขึ้นมาหน่อย เหลือบดูเวลาเกือบจะห้าทุ่มแล้ว ตอนนี้ชั่งใจอีกครั้งว่าจะหาที่พักดีหรือเปล่า คิดไปคิดมาคงไม่คุ้ม เพราะค่าที่พักเริ่มต้นที่ 90 fr. แล้ว สำหรับลูกค้าที่ไม่ได้จองล่วงหน้า เลยคิดว่า เอาก็เอาว่ะ ไหนๆ ก็ว่างแล้ว ลองดื่มด่ำกับแสงสียามค่ำคืนของเมืองนี้สักครั้ง จึงมุ่งหน้าตรงไปริมทะเลสาบมีร้านค้ามากมาย พร้อมแสงสีและดนตรี บังเอิญมีการแข่งขันวอลเล่บอลชายหาดรอบสุดท้ายของคืนนี้พอดี ผู้คนจึงยังพลุกพล่านอยู่ ไม่วังเวงเกินไป มีบู๊ทขายอาหารตั้งเรียงราย ผมเดินวนอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจสั่งเมนูสเต้กเนื้อ เพราะคิดว่าได้เยอะที่สุดแล้วสำหรับอาหารราคา 12 fr. ระหว่างที่รอผมสั่งเบียร์ขวนนึงดื่มคั่นเวลา ผ่านไปเกือบสามสิบนาที จนเบียร์หมดขวด ผมก็ยังไม่ได้กินเลย ก็แน่หละครับ เพราะแม่ค้าเป็นนักศึกษาหารายได้พิเศษหลังเลิกเรียนไม่ใช่แม่ค้ามืออาชีพ คงต้องใช้เวลาหน่อย ผมจึงสั่งเบียร์เพิ่มอีกขวดขณะที่แม่ค้าจำแลงกำลังทะมัดทะแมงตกแต่งจานสเต้กของผมอยู่ สุดท้ายเกือบสี่สิบห้านาที ผมจึงได้ทาน แต่ไม่ว่านานเท่าไรก็รอครับ เพราะมันคุ้มเมื่อได้เห็นรอยยิ้มสวยๆกับสเต้กพร้อมทาน.
กินไปนั่งไปชิลๆ เห็นชายคนหนึ่งเดินขายดอกกุหลาบในบริเวณนั้น ผมสังเกตุว่า เขาจะไม่เดินไปเสนอขายดอกไม่สุ่มสี่สุ่มห้า แต่เขาจะมองดูรอบๆ แล้วเดินไปหาลูกค้า จากนั้นก็หยุดยืนสังเกตุก่อนจะเดินไปหาลูกค้ารายต่อไป ผมคิดว่าเขามีสมาธิ จดจ่อและไตร่ตรอง แตกต่างจากผมเลยครับ ในตอนนั้นจิตใจล่องลอย..เพ้อ...อิอิ
เมื่อราตรียามเที่ยงคืนมาเยือน ผู้คนเริ่มซาหายไปจากบริเวณนั้น ผมเองก็เดินลัดเลาะตามตรอกซอย พยายามมองหาที่นั่งต่อ แต่ดูๆแล้วคงนั่งไม่ไหว ราคาอาหารแต่ละอย่าง ซื้อมาม่าบ้านเราได้เป็นกล่องเลย จึงเดินต่อมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงสถานีรถไฟที่ฝากของไว้ ขึ้นไปนั่งรอในห้องรับรองผู้โดยสาร พอเริ่มง่วงเลยเดินไปหาที่นอนที่ชานชลาชั้นสอง อากาศเริ่มหนาวมากขึ้น แต่เสื้อกันหนาวผมอยู่ในตู้ ถ้าจะเอาออกก็ต้องจ่ายอีก 8 เหรียญ แต่โชคดีมีที่นั้งยาวว่างอยู่ที่หนึ่ง และอยู่ในห้องกระจกสำหรับผู้โดยสารที่ไม่สูบบุหรี่ จึงเข้าไปนอนในนั้น ยังไม่ทันงีบหลับเลยมัวแต่คิดอะไรไปเพลินๆ เวลาผ่านมาถึงตีสองครึ่ง มีเจ้าหน้าที่สองนายมาไล่ออกจากสถานี บอกว่าจะปิดทำการสองชั่วโมง เลยออกมาเดินโต๋เต๋ข้างนอก หนังสือไม่มีให้อ่าน โทรศัพท์แบตหมด อากาศหนาว ขี้เหล้าก็ป้วนเปี้ยน บ้างก็ทักเราด้วยภาษาแปลกๆ บ้างก็ตะโกนเอะอะโวยวายตามประสา สิ่งที่ทำได้คือเดินจงกรมไปมาให้ร่างกายอบอุ่น และรอเวลาให้สถานีเปิดทำการอีกครั้งตอนตีสี่ ทันใดนั้นมองเห็นสาวๆ สามคนพร้อมกับกระเป๋าเดินทางจำนวนหนึ่ง คาดว่าคงโดนไล่ออกมาจากสถานีเหมือนกัน จึงตัดสินใจเดินเข้าไปทักทาย..เลยรู้ว่า....
ติดตามตอนต่อไปนะครับ
No comments:
Post a Comment