บนโลกที่มีความหลากหลายทั้งด้านเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม คนเราจะมีวิธีการสื่อสารกันอย่างไรบ้างให้เข้าใจและประสบผลสำเร็จ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ก็จะมีวิธีการสื่อสารกันแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย เช่น สถานะของผู้ส่งสารและผู้รับสาร กาลเทศะ หรือเป้าประสงค์ของการสื่อสารเป็นต้น เรามาดูกันว่ามีการแบ่งบุคคลิคในการการสื่อสารของคนเราไว้อย่างไรบ้าง
1) สบตา - ไม่สบตา คุณเคยสังเกตตัวเองไหม ว่าปกติแล้วได้สบตาคู่สนทนาหรือไม่ โดยการประสานสายตาระหว่างคู่สนทนานั้น สามารถช่วยให้มีความเข้าใจกันมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความจริงใจหรือเอาจริงเอาจังในเรื่องที่กำลังพูดอยู่ แต่การหลบสายตา ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ดี บางครั้งอาจเกิดจากความประหม่า หรือเขินอายก็ได้ หรือในบางวัฒนธรรมผู้น้อยจะไม่ได้รับอนุญาตให้จ้องตาผู้อาวุโสขณะสนทนา
2) สัมผัส - ไม่สัมผัส ในที่นี้หมายรวมถึงวิธีการทักทายด้วย ว่าคุณมีวัฒนธรรมการทักทายอย่างไรบ้าง แบบสัมผัส หรือเพียงทักทายด้วยสายตาหรือคำพูด และระหว่างสนทนากัน บางคนอาจมีการสัมผัสฝ่ายตรงข้ามเช่น การลูบหัว เพื่อแสดงถึงความรักและเอ็นดู, การโอบไหล่ ลูบไหล่เบาๆ แสดงถึงการปลอบประโลม หรือให้กำลังใจ และการจับมือเขย่าเพื่อแสดงความขอร้อง หรือเชื่อมั่นเป็นต้น ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้น ในความจริงอาจมีการสัมผัสเพื่อการสื่อสารอีกมากมายหลายรูปแบบแตกต่างกันไปตามเหตุผล
3) ตรงไปตรงมา - อ้อมค้อม แม้ว่ามีวัฒนธรรม และภาษาเดียวกันก็ตาม โดยพื้นฐานแล้วคนเรามักจะมีการสื่อสารสองรูปแบบใหญ่ๆ คือ แบบตรงไปตรงมาเน้นไปที่เป้าหมาย และแบบอ้อมค้อมซึ่งเน้นที่การรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคู่สนทนา
4) แบบเส้นตรง - วงกลม การสื่อสารประเภทนี้ มักเป็นการสื่อสารเรื่องที่มีความยาว มีที่มาที่ไปหรือเป็นเรื่องเล่า แบบเส้นตรง จะมีการเรียบเรียงและเล่าตามลำดับเหตุการณ์ แล้วโยงเข้าสู่ประเด็น ส่วนแบบวงกลม จะเป็นการเล่าภาพรวมทั้งหมดของเหตุการณ์ โดยแฝงประเด็นสำคัญไว้ระหว่างเรื่อง ให้ผู้รับสารพิจารณาเอาเอง และมักจะไม่ระบุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน การสื่อสารรูปแบบนี้ถือว่าเป็นการสื่อสารแบบประณีประณอมด้วย
5) แสดงอารมณ์ - เก็บอารมณ์ เป็นการสื่อสารที่ตรงข้ามกันอย่างชัดเจน ว่ามีการแสดงออกทางอารมณ์ขณะสื่อสารหรือไม่ ส่วนใหญ่คนเรามักมีทั้งสองรูปแบบในคนเดียวกัน เช่น บางคนสามารถควบคุมอารมณ์โกรธของตนเองระหว่างสนทนาได้ดี แต่บางทีก็แสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อดีใจ หรือปลาบปลื้มเป็นต้น ซึ่งทั้งสองรูปแบบถ้ารู้จักควบคุมและใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการสื่อสารอย่างมากเลยทีเดียว
6) เอาตนเองเป็นที่ตั้ง - เน้นเพื่อส่วนรวม เป็นปกติของการสื่อสารบางคนอาจเน้นการสื่อสารเพื่อผลประโยชน์แก่ตนเอง หรือเน้นความเห็นตนเป็นหลัก ส่วนอีกประเภทจะใจกว้าง รับฟังความเห็นผู้อื่นก่อน แล้วค่อยแสดงความเห็นของตนทีหลัง และรับฟังเสียงส่วนใหญ่
7) อดีต - ปัจจุบัน - อนาคต เป็นฐานความคิดที่ส่งผ่านสู่กระบวนการสื่อสารว่า ในขณะสื่อสารเราประมวลผลหรือมีความคาดหวัง จากอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต อย่างไหนมากกว่ากัน หรือพูดง่ายๆคือ เราเป็นคนที่อยู่กับอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
8) เน้นเป้าหมาย - เน้นความสัมพันธ์ ในการสื่อสารบางคนอาจเน้นไปที่เป้าหมายเป็นหลัก หรือการสื่อสารแบบทางตรง ส่วนอีกประเภทจะให้ความสำคัญกับการรักาาความสัมพันธ์กับคู่สนทนา ส่วนใหญ่จะเป็นการสื่อสารทางอ้อม ประณีประณอม และไม่แสดงอารมณ์จนเกินไป
9) แนวตั้ง - แนวนอน ในที่นี้หมายถึงการวางตัวของผู้สื่อสารว่าเป็นเช่นไร บางทีอาจเป็นโครงสร้างทางวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติ เช่น แนวตั้ง คือมีการวางตัวกันแบบมีชนชั้นในสังคม ชั้นสูง หรือชั้นล่าง มีรูปแบบการสื่อสารที่ต่างกัน ตามกฎจารีตของสังคมนั้นๆ ส่วนการสื่อสารแบบแนวนอน คือ ทุกคนมีฐานะทางการสื่อสารระดับเดียวกัน หรือมีความเท่าเทียมกันในสังคมนั่นเอง
กิจกรรม
ลองตรวจสอบวัฒนธรธรรมในการสื่อสารของตนเอง โดยการลากเส้นตามภาพด้านล่างนะครับ ว่าเราใช้วิธีการสื่อสารแบบใดมากหรือน้อยกว่ากันอย่างไรบ้าง
Saturday, April 18, 2015
Thursday, April 16, 2015
การศึกษาเพื่อการเป็นพลเมืองประชาธิปไตย EDC
สวัสดีครับ วันนี้ได้มีโอกาสอัพเดทบล็อกอีกครั้ง อีกบทความหนึ่งที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรา ที่จะสรุปโดยสังเขปจากวิชา "การศึกษาเพื่อการเป็นพลเมืองประชาธิปไตย"
Education for Democracy Citizenship EDC เมื่อพูดถึงประชาธิปไตยก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกล่าวถึงการเมือง ซึ่งมีการให้นิยามง่ายๆ สั้นๆว่า
การเมือง คือ เครื่องมือที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนของของสัง หรือเพื่อสังคม
ส่วนประชาธิปไตย คือ กระบวนวิธีในการสร้างข้อตกลงร่วมกันว่าจะใช้เครืองมือแบบไหนในการแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนเหล่านั้น และหมายรวมถึงการมีส่วนร่วม และมีความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมในกลไก หรือเครื่องมือเหล่านั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่ต้องการด้วย
ในระบอบประชาธิปไตยจะมีการแบ่งขั้วอำนาจหลักออกเป็นสามส่วน คือ
1.นิติบัญญัติ ทำหน้าที่ออกกฎหมายในการปกครองบ้านเมือง หรืออนุมัติงบประมาณ (รัฐสภา)
2.บริหาร หรือรัฐบาล ข้าราชการ ทำหน้าที่ในการดำเนินงานตามกรอบกฎหมายที่ออกโดยนิติบัญญัติ
3.ตุลาการ หรือศาล ปฏิบัติหน้าที่ในการดำรงความยุติธรรมในบ้านเมือง
บางกรณีก็มีอีกหนึ่งขั้วอำนาจ คือ สื่อ (Medias) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งอำนาจที่มีอิทธิพลต่อสังคมเป็นอย่างมาก หลายรัฐบาลจึงพยายามจะควบคุมสื่อ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง ในขณะที่สื่อส่วนใหญ่ต้องการเสรีภาพในการนำเสนอเรื่องราวอย่างเต็มที่
ในระบอบประชาธิปไตย มี 6 องค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ
1. การเลือกตั้ง ในกระบวนการประชาธิปไตย อำนาจทั้งหมดได้มาจากประชาชนโดยการโหวตให้รัฐบาลได้เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการประเทศตามระยะเวลาที่กำหนด การเลือกตั้งเป็นเป็นกระบวนการหลักในระบอบประชาธิปไตย
2.รัฐสภา เหล่าบุคคลที่เป็นผู้แทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง มาประชุมร่วมกันเพื่อหารือเกี่ยวกับกฎหมาย ทำหน้าที่ผ่านกฎหมาย และอนุมัติงบประมาณ (บ้านเรามีแบบสรรหาด้วย ทั้งสส. และสว.)
3. รัฐบาล ไม่มีรัฐไหนที่สามารถปกครองได้โดยไม่มีรัฐบาล หรือองค์การบริหาร รัฐบาลมีหน้าที่ในการดำเนินตามกรอบกฎหมายและนโยบายที่ผ่านจากรัฐสภา
4. ฝ่ายค้าน อาจเป็นได้ทั้งบุคคล กลุ่มบุคคล หรือพรรคการเมือง ซึ่งมีความเห็นแตกต่างจากรัฐบาล ยืนอยู่ตรงข้าม คอยตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐบาล และมักเสนอแนวทางการจัดการอีกรูปแบบหนึ่งอยู่เสมอ และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้รัฐบาลทำหน้าที่ให้ดีขึ้น
5. การกระจายอำนาจ เพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสามเสาใหญ่ (นิติบัญญัติ,บริหาร,ตุลาการ) ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีมีสิทธิ์ขาดการในการตัดสินใจ หรือใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จแต่เพียงฝ่ายเดียว รวมทั้งเป็นกระบวนการตรวจสอบซึ่งกันและกัน เพื่อให้การปกครองเป็นไปแบบโปร่งใสด้วย
6. รัฐธรรมนูญ คือกฎหมายสูงสุด เป็นกฎหมายเพื่อบังคับกฎหมายลูก อาจไม่สามารถใช้ในการบังคับคนได้โดยตรงอย่างเต็มที่ เพราะต้องมีการตีความในรายละเอียดด้วย
ปล. ผมเองไม่มีความรู้เรืองการปกครองมากนัก จึงกล่าวมาตามความเข้าใจจากที่เรียนมา หากขาดตกบกพร่องอย่างไร เชิญชวนทุกท่านช่วยเพิ่มเติมด้วยนะครับ จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง
แล้วติดตามตอนต่อไปนะครับ
Education for Democracy Citizenship EDC เมื่อพูดถึงประชาธิปไตยก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกล่าวถึงการเมือง ซึ่งมีการให้นิยามง่ายๆ สั้นๆว่า
การเมือง คือ เครื่องมือที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนของของสัง หรือเพื่อสังคม
ส่วนประชาธิปไตย คือ กระบวนวิธีในการสร้างข้อตกลงร่วมกันว่าจะใช้เครืองมือแบบไหนในการแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนเหล่านั้น และหมายรวมถึงการมีส่วนร่วม และมีความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมในกลไก หรือเครื่องมือเหล่านั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่ต้องการด้วย
![]() |
Prof.Dr.h.c. Rolf Gollob Zurich University of Teacher Education Switzerland |
ในระบอบประชาธิปไตยจะมีการแบ่งขั้วอำนาจหลักออกเป็นสามส่วน คือ
1.นิติบัญญัติ ทำหน้าที่ออกกฎหมายในการปกครองบ้านเมือง หรืออนุมัติงบประมาณ (รัฐสภา)
2.บริหาร หรือรัฐบาล ข้าราชการ ทำหน้าที่ในการดำเนินงานตามกรอบกฎหมายที่ออกโดยนิติบัญญัติ
3.ตุลาการ หรือศาล ปฏิบัติหน้าที่ในการดำรงความยุติธรรมในบ้านเมือง
บางกรณีก็มีอีกหนึ่งขั้วอำนาจ คือ สื่อ (Medias) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งอำนาจที่มีอิทธิพลต่อสังคมเป็นอย่างมาก หลายรัฐบาลจึงพยายามจะควบคุมสื่อ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง ในขณะที่สื่อส่วนใหญ่ต้องการเสรีภาพในการนำเสนอเรื่องราวอย่างเต็มที่
ในระบอบประชาธิปไตย มี 6 องค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ
1. การเลือกตั้ง ในกระบวนการประชาธิปไตย อำนาจทั้งหมดได้มาจากประชาชนโดยการโหวตให้รัฐบาลได้เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการประเทศตามระยะเวลาที่กำหนด การเลือกตั้งเป็นเป็นกระบวนการหลักในระบอบประชาธิปไตย
2.รัฐสภา เหล่าบุคคลที่เป็นผู้แทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง มาประชุมร่วมกันเพื่อหารือเกี่ยวกับกฎหมาย ทำหน้าที่ผ่านกฎหมาย และอนุมัติงบประมาณ (บ้านเรามีแบบสรรหาด้วย ทั้งสส. และสว.)
3. รัฐบาล ไม่มีรัฐไหนที่สามารถปกครองได้โดยไม่มีรัฐบาล หรือองค์การบริหาร รัฐบาลมีหน้าที่ในการดำเนินตามกรอบกฎหมายและนโยบายที่ผ่านจากรัฐสภา
4. ฝ่ายค้าน อาจเป็นได้ทั้งบุคคล กลุ่มบุคคล หรือพรรคการเมือง ซึ่งมีความเห็นแตกต่างจากรัฐบาล ยืนอยู่ตรงข้าม คอยตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐบาล และมักเสนอแนวทางการจัดการอีกรูปแบบหนึ่งอยู่เสมอ และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้รัฐบาลทำหน้าที่ให้ดีขึ้น
5. การกระจายอำนาจ เพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสามเสาใหญ่ (นิติบัญญัติ,บริหาร,ตุลาการ) ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีมีสิทธิ์ขาดการในการตัดสินใจ หรือใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จแต่เพียงฝ่ายเดียว รวมทั้งเป็นกระบวนการตรวจสอบซึ่งกันและกัน เพื่อให้การปกครองเป็นไปแบบโปร่งใสด้วย
6. รัฐธรรมนูญ คือกฎหมายสูงสุด เป็นกฎหมายเพื่อบังคับกฎหมายลูก อาจไม่สามารถใช้ในการบังคับคนได้โดยตรงอย่างเต็มที่ เพราะต้องมีการตีความในรายละเอียดด้วย
ปล. ผมเองไม่มีความรู้เรืองการปกครองมากนัก จึงกล่าวมาตามความเข้าใจจากที่เรียนมา หากขาดตกบกพร่องอย่างไร เชิญชวนทุกท่านช่วยเพิ่มเติมด้วยนะครับ จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง
แล้วติดตามตอนต่อไปนะครับ
Subscribe to:
Posts (Atom)