Developmental Model of Intercultural Sensitivity (DMIS)
แบบแผนพัฒนาการของความอ่อนไหวต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม
พัฒนาการด้านอัตลักษณ์และวัฒนธรรมนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้และปรับตัวเพื่อเลือกรับและดำรงอยู่บนฐานวัฒนธรรมนั้นๆ
เมื่อปฏิบัติตัวให้เคยชินเป็นระยะเวลานานๆและติดเป็นนิสัย พฤติกรรมเหล่านั้นที่ผ่านการหล่อหลอมจากวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมจะกลายเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคล
โดยปกติแล้วคนเรามีอัตลักษณ์สองแบบ คือ ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เช่นเชื้อชาติ
สีผิว ยีน และเพศ เป็นต้น เหล่านี้จะเป็นอัตลักษณ์ถาวร ส่วนอีกประเภทหนึ่งหนึ่งคือ
อัตลักษณ์ที่เกิดจากการหล่อหลอมภายหลัง อาจด้วยปัจจัยทางสังคม
หรือสภาพแวดล้อมก็ตาม เช่น การเลือกเพศเมื่อโตขึ้น การเปลี่ยนศาสนา การชื่นชอบดนตรี หรือกีฬา
ท่วงท่าทำนองของอริยาบถต่างๆ สิ่งเหล่านี้สามารถเรียนรู้และฝึกฝนภายหลังได้
และอาจเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ดร. Larke Haung
นักจิตวิทยาชาวจีน
และผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมสุขภาวะทางพฤติกรรม กล่าวว่า บุคคลหนึ่งสามารถมีได้หลายอัตลักษณ์
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสภาพแวดล้อม อาทิ ณ เวลาหนึ่งผู้คนรู้จักเราในฐานะที่เป็นครู
แต่อีกเวลาหนึ่งที่บ้านลูกๆ รับรู้ในฐานที่เป็นพ่อหรือแม่ อย่างไรก็ตาม แม้ในช่วงเวลาเดียวกัน
สถานที่เดียวกัน เราก็มักมีสองอัตลักษณ์หรือมุมมองเสมอ คือ มุมมองที่คนอื่นมองเรา
กับมุมมองที่เราเห็นตนเอง
แบบแผนพัฒนาการของความอ่อนไหวต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม
(Sensitivity of Intercultural) เป็นทฤษฎีสรุปพฤติกรรมของมนุษย์เราเพื่อแสดงถึงความอ่อนไหวทางวัฒนธรรม
และการปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมีที่แตกต่างจากตนเอง
โดยมีการแบ่งออกเป็นสองหวดหลักดังนี้
1) Ethnocentric ชาติพันธ์นิยม หรือการยึดมั่นกับชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของตนเอง
คนเหล่านี้จะมีปฏิกิริยา โดยจำแนก 3 ประการเมื่อต้องเจอกับวัฒนธรรมที่แตกต่าง
ได้แก่
1.1
Denial การปฏิเสธ
คนที่อยู่ในประเภทนี้จะไม่ยอมรับ ไม่เปิดใจอย่างเด็ดขาดเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่
และเชื่อว่า มีเพียงวัฒนธรรมของตนเองอย่างเดียวเท่านั้น วัฒนธรรมใดอื่นย่อมไม่เป็นที่ยอมรับ
1.2
Defense ปกป้อง ประเภทที่สองนี้
รับรู้และยอมรับว่ามีวัฒนธรรมอื่นอยู่ แต่ยึดถือวัฒนธรรมของตนเองเป็นหลักว่าดีที่สุด
ไม่มีใครอื่นเหนือกว่า
1.3
Minimization การลดทอน ประเภทที่สามนี้คือลดทอนความเชื่อมั่น
และถ่อมตัวจนเกินไป โดยยกย่องให้วัฒนธรรมอื่นเหนือกว่าวัฒนธรรมของตนเองเสมอ
และมักไม่พอใจหรือยอมรับในวัฒนธรรมและสังคมที่ตนเองผูกพันธ์อยู่
2) Ethnorelative
ชาติพันธ์สัมพันธ์
เป็นกลุ่มที่เรียนรู้และยอมเปิดใจมากกว่ากลุ่มแรก
มีการศึกษาและเรียนรู้วัฒนธรรมที่อื่นๆ เพื่อที่จะยอมรับหรือปรับตัวเข้าหากัน
เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม โดยแบ่งออกเป็นสามประเภทเช่นกัน ได้แก่
2.1 Acceptation
การยอมรับ
กล่าวคือยอมรับว่าในสังคมมีผู้คนที่เต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม
ให้ความเคารพต่อผู้คนที่มีวัฒนธรรมที่ต่างจากตน แต่ยังยึดถือวัฒนธรรมของตนเองเป็นหลัก
2.2 Adaptation การปรับตัว หมายถึงพยายามปรับตัวจากวัฒนธรรมของตนเอง เป็นอีกวัฒนธรรมหนึ่ง
ทั้งนี้ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น การปรับตัวรับวัฒนธรรมใหม่ไม่ได้หมายถึงการปรับเปลี่ยนทุกอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ให้มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
หากแต่ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมในขณะนั้น
เป็นไปได้ทั้งปรับเปลี่ยนแบบถาวร
หรือกลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อผ่านพ้นช่วงเวลานั้นๆ เช่น เราใช้ช้อนส้อมในการทานข้าวอยู่ในเมือง
แต่อาจต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทานข้าวด้วยมือเปล่าในสังคมดั้งเดิม เป็นต้น
2.3 Integrate การผสมผสาน คือยังดำรงวัฒนธรรมแบบเก่า แต่ก็รับวัฒนธรรมใหม่เข้ามาด้วยแต่มีการผสมผสานให้ลงตัว
หากยกตัวอย่างจากด้านบนมาก็เปรียบได้กับการทานข้าวด้วยมือเปล่า
แต่ใช้ช้อนเพื่อซดน้ำแกงบ้าง เป็นต้น
การเรียนรู้ปฏิกิริยาการปรับตัวหรือความอ่อนไหวต่อความหลากลายทางวัฒนธรรม
จะช่วยให้เราเข้าใจบุคคลิคและอัตลักษณ์ของแต่ละคนง่ายขึ้น รวมทั้งสามารถชักจูงหรือทำให้คนที่มีมุมมองปิดสนิท
ได้เปิดเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างได้ เพื่อให้คนในสังคมมีความเข้าใจกันมากขึ้น
และอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายอย่างสันติ.