Thursday, September 10, 2015

บทเรียนของชาวสวิส กับการพยายามควบคุมธรรมชาติ

Winterthur คือเมืองหนึ่งในเขตปกครองของรัฐซูริค มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายทั้งสิ่งก่อสร้างแบบดั้งเดิม ห้างสรรพสินค้า แต่ที่จะกล่าวถึงนี้คือ สถานที่หนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากตัวเมือง Wintertur ประมาณ 40 นาที โดยรถประจำทาง  ชื่อศูนย์ธรรมชาติ ธูราเอวน  Naturzentrum Thurauen ซึ่งเป็นศูนย์ศึกษาธรรมชาติแบบครบวงจร  ที่แสดงให้เห็นระบบนิเวศน์ของธรรมชาติและสะท้อนมุมมองการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งบทเรียนของชาวเมือง วินเทอร์ทัวร์ ที่ผ่านมาด้วย  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการพยายามจัดการน้ำครับ

เมืองวินเทอร์ทัวร์มีแม่น้ำสำคัญไหลผ่านสองสาย  แม่น้ำใหญ่ ชื่อแม่น้ำเรน  ส่วนสายรองชื่อแม่น้ำทัวร์ แม้จะมีขนาดเล็กกว่าแต่ก็มีความสำคัญค่อนข้างมาก  เพราะเป็นแม้น้ำที่หล่อเลี้ยงเกษตรกรที่ผลิตอาหารให้เมืองนี้
(1) ภาพปี 19-- แม่น้ำทัวร์ คือสายที่คดเคี้ยว ทิศทางการไหลจากขวาไปซ้าย
ภาพด้านบนนี้คือภาพเดิมก่อนที่จะมีการขุดลอกลำคลอง ในช่วงนั้นจะมีกระแสน้ำหลากตามธรรมชาติระบบริเวศน์ยังสมบูรณ์เต็มที่  หากดูภาพวาดด้านล่างประกอบจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น  ระดับที่สีน้ำเงินเข้ม คือระดับปกติของแม่น้ำ สูงขึ้นมาบริวณตะลิ่ง จะเป็นพื้นที่รองรับน้ำหลากอันดับแรก บริเวณนี้จะมีหญ้าเนื้อเหนียวบางประเภทขึ้นอยู่  และมีกรวดหินเล็กใหญ่เรียงราย  เป็นที่วางไข่ของนกท้องถิ่นบางประเภท ระยะถัดขึ้นมา เป็นพื้นที่น้ำท่วมสูง ที่ระดับนี้จะมีไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน และชุ่มน้ำขึ้นอยู่ ซึ่งต้นไม้เหล่านี้จะเป็นเกราะกำบังไม่ให้น้ำกัดเซาะชายฝั่ง  ทั้งยังทำหน้าที่ดูดซับและกรองน้ำอย่างดีด้วย  ส่วนด้านบนสุดปกติน้ำท่วมไม่ถึง จะเป็นพื้นที่ของไม้ยืนต้นเนื้อแข็ง  เช่นต้นสน  และเป็นพื้นที่ป่าให้สัตว์ป่าต่างๆอยู่อาศัย
(2) ภาพแสดงพื้นที่น้ำหลากและประเภทของพืชริมน้ำ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ผังเมือง ซูริค อยากจัดการทุกอย่างให้เป็นระบบ และเพื่อป้องกันน้ำหลาก จึงได้มีการฝังแผ่นคอนกรีตครั้งใหญ่ ประกบทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ เพื่อดัดแม่น้ำที่มีความคดเคี้ยวให้ตรงเหยียด เหมือนไม้บรรทัด แต่ผลกระทบที่มาอย่างคาดไม่ถึงในระยะแรกคือ กระแสน้ำเชี่ยวกราก ถึง 130 กม.ต่อชั่วโมง เนื่องจากไม่มีโค้งน้ำชะลอความเร็ว  พื้นที่เกษตร (ส่วนโค้งด้านขวาของภาพ ที่ 3) ก็ถูกน้ำท่วมแบบฉับพลันสร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก  ระยะยาวคือสัตว์หลายชนิดหายไปเช่น นกบางประเภท ที่ไม่มีริมตลิ่งให้วางไข่ หรือไม้เนื้ออ่อนริมน้ำแห้งตายไป ต่อมาเนื้อดินทั้งสองฝั่งแม่น้ำเริ่มแห้งและด้อยคุณภาพลง  ไม่เอื้อต่อการเพาะปลูกเหมือนเช่นเคย

(3) ภาพหลังจากการฝังคอนกรีต
 ด้วยเหตุนี้ ทางรัฐจึงได้ตระหนักถึงผลกระทบจากการพยายามแทรกแซงและควบคุมธรรมชาติ จึงได้มีโครงการรื้อถอนคอนกรีตทั้งหมดออก แล้วตัดต้นไม้บางจุดออก เพื่อเปิดหน้าดินให้น้ำกัดเซาะบริเวณดังกล่าว ให้กลับมาเป็นโค้งเหมือนเดิม
(4) ภาพถ่ายทางอากาศปี 2008 หลังจากการรื้อถอนคอนกรีต และเปิดริมตลิ่ง
(5) ภาพถ่ายทางอากาศปี 2008 หลังจากการรื้อถอนคอนกรีต และเปิดริมตลิ่ง


(6) ภาพถ่ายปี 2012 เริ่มเห็นส่วนโค้งของแม่น้ำตรงจุดที่มีการเปิดตลิ่ง
(7) ภาพถ่ายปี 2013 เห็นส่วนโค้งของแม่น้ำได้อย่างชัดเจน  
หลังจากที่มีการรื้อถอนคอนกรีตออกจากริมแม่น้ำทั้งหมดแล้ว  แม่น้ำค่อยๆฟื้นคืนสภาพและเยียวยาตัวเองตามธรรมชาติ  จากผลการสำรวจล่าสุดพบว่า  กระน้ำเชี่ยวลดลง  ไม่มีน้ำท่วมฉลับพลัน  พืชพันธุ์และสัตว์ต่างๆ ที่เคยหายไปได้กลับคืนมา

จากกรณีดังกล่าวเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับชาวสวิสในการพยายามควบคุมธรรมชาติ  ปัจจุบันรัฐหันมาคำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้นปรเทศสวิตเซอร์แลนด์จึงเป็นประเทศร่ำรวยที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติค่อนข้างสูง  หากเทียบกับเนื้อที่ขนาดเล็กของประเทศ

Thursday, August 6, 2015

บันทึกการเดินทาง ตอนที่ 3 ตะลุยปารีส (ตอนจบ)

ตอนที่ 3 ตะลุยปารีส (ตอนจบ)
------------------------
ผมเดินทางมาถึงปารีสช่วงสายๆของวันศุกร์ และมีเวลาให้เที่ยวแค่ครึ่งบ่ายของวันนั้น เนื่องจากวันเสาร์ต้องนั่งรถไฟอีกกว่า 8 ชั่วโมงเพื่อเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านที่โทรเกน St. Gallen ทางตอนเหนือของสวิส เนื่องจากมีนัดกับโฮสต์ของผม เพื่อไปเที่ยวออสเตรียด้วยกันในวันอาทิตย์ เมื่อมีเวลาจำกัดผมต้องตัดสถานที่หลายแห่งออกไปจากที่ตั้งใจไว้แต่แรก โดยก่อนจะเดินทางผมเข้าไปค้นเจอในเว็บไชต์ “กระปุกดอทคอม” เกี่ยวกับสถานที่ 10 แห่งที่ไม่ควรพลาดชมเมื่อไปเที่ยวปารีส ซึ่งแต่ละที่ก็น่าสนใจมากไม่แพ้กันเลย ผมคัดเป้าหมายให้เหลือเพียงสามแห่ง คือ เยี่ยมชมหอไอเฟล ต่อด้วยวิหารกลางน้ำ จากนั้นปิดท้ายด้วยการนั่งรถบัสเปิดหลังคาเที่ยวชมรอบเมือง ผมเดินทางโดยรถไฟใต้ดินเป็นหลักครับ เพราะคิดว่าน่าจะสะดวกและรวดเร็วที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ง่ายไปซะทีเดียว เพราะปารีสเป็นเมืองที่ผู้คนค่อนข้างแออัด ดังนั้นจึงต้องเบียดเสียดกันบนรถไฟ ตลอดทั้งบ่ายของวันนั้นผมไม่เคยมีที่นั่งเลย ต้องยืนโหนไปตลอดจนอาการปวดเท้าจากที่เดินในช่วงเช้ากลับมาอีกครั้ง และด้วยความใหญ่โตของเมืองนี้ โดยเฉพาะความกว้างใหญ่ของสถานีรถไฟ เมื่อลงจากสายหนึ่งเพื่อไปขึ้นอีกสายหนึ่ง บางทีก็ต้องเดินไกลถึงแปดร้อยเมตรเลยทีเดียว ประกอบกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวใต้ดิน และอากาศที่ร้อนระอุบนดิน พอผมมาโผล่ที่สถานีฝั่งตรงข้ามหอไอเฟลเดินตรงออกมาจะเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งเหมือนกัน แต่ตอนนั้นผมไม่มีกะจิตกะใจจะดื่มด่ำกับมนต์เสน่ห์ของเมืองนี้อีกแล้ว แม้จะมองเห็นหอไอเฟลอยู่ห่างออกไปแค่อีกฝั่งของแม่น้ำก็ตาม ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจอะไร ผมเริ่มรู้สึกตาลายและมองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด อาจเพราะอากาศที่ร้อนจัดและผมยังไม่ทานข้าวเที่ยง จึงเดินไปที่สวนสาธารณะหาที่นั่งหลบร้อนใต้ต้นไม้ ถอดรองเท้าและถุงเท้าออกให้เท้าได้ผ่อนคลายและคลายความปวดลงบ้าง ปูแผนที่ลงกับผืนหญ้าแล้วเอนกลายลงนอนทับไว้ รูดซิบปิดกระเป๋าเสื้อทุกช่องเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาฉกอะไรขณะที่เผลอหลับไป หรือทำอะไรหล่นไว้ พร้อมทั้งเอาสายคล้องคอของกล้องถายรูปพันไว้กับแขน หลับตาลงเบาๆ ผ่านไปสักพักเสียงผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ เริ่มเบาลง เบาลง และเลือนลางไป จนผมงีบหลับไปในที่สุด พอตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาผมหลับไปได้เกือบยี่สิบนาที ลุกขึ้นมานั่งบิดขี้เกียจ รู้สึกว่าอาการอ่อนเพลียทุเลาลงบ้างจึงใส่รองเท้า พับแผนที่แล้วเดินทางไปริมแม่น้ำเพื่อข้ามสะพานไปยังคอหอย เดินไปผมก็เก็บภาพไปบ้างเห็นนักท่องเที่ยวเดินข้ามถนนกันขวักไขว่ รถบัสนำเที่ยวแบบเปิดหลังคาวิ่งผ่านไปมาหลายคัน บางคันก็มีคนนั่งคนนั่งเต็มดาดฟ้า และบางคนก็ดูไม่แน่นมากนักยังมีที่นั่งว่างอยู่ ผมพยายามไปอ่านข้อมูลตามป้ายจอดรถบัสโดยสารประจำทางว่า จะต้องทำยังไงจึงจะได้ขึ้นไปนั่งชมวิวบนนั้นแต่ก็ไม่เจออะไร จึงเดินข้ามถนนและตรงไปที่สะพานข้ามแม่น้ำเซน ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองปารีส “หอไอเฟล” สถานที่ในฝันของหลายคนรวมทั้งผมด้วย (ก่อนหน้านี้) ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า น่าทึ่งสมคำร่ำลือครับ เหล็กกล้าต่างรูปทรงต่างขนาด ถูกนำมาเชื่อมต่อเข้ากัน มีฐานที่มั่นคงทั้งสี่ด้านคอยค้ำชู้ให้ยอดสูงชันของหอคอยแห่งนี้ ได้ยืนสง่าท้าทายควาสูงของแผ่นฟ้าอย่างแข็งแกร่งมานานหลายปี ผมเดินไปถึงฐานหรือจะเรียกว่าขาหรือเสาของหอคอยยักษ์ก็ได้ครับ ซึ่งเป็นทางขึ้นชมหอคอย มีผู้คนต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อขึ้นไปชมวิวจากบนหอคอย โดยมีการแบ่งความสูงออกเป็นสามระดับ สองระดับแรกคือช่วงแรกและช่วงกลางสามารถเดินขึ้นไปได้ แต่ไม่ว่าจะเดินหรือใช้ลิฟ ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมและต่อคิวเพื่อตรวจสัมภาระและผ่านระบบการรักษาความปลอดภัยเสียก่อน แต่หากจะขึ้นไปถึงยอดของหอคอยต้องขึ้นลิฟเพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ มีคำแนะนำว่าให้ไปหลังหกโมงเย็นช่วงนั้นคนจะไม่เยอะมาก รอคิวไม่นานก็ได้ขึ้นไปชมความงดงามของเมืองปารีสจากยอดหอคอยครับ ส่วนผมขอสละโอกาสนี้ไปก่อนครับ ร่างกายไม่ไหวจริงๆ จึงเดินวนเก็บภาพอยู่ด้านข้างหามุมแปลกถ่ายภาพเล่น เดินวนไปมากระทั่งเจอสถานที่จอดรับผู้โดยสารของรถบัสเปิดหลังคา ผมจึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าสามารถใช้ตั๋วแบบนี้ได้หรือเปล่าครับ พร้อมชูตั๋วแบบวันเดย์ทิคเก็ตให้เขาดู เขาบอกว่าต้องซื้อตั๋วต่างหาก ราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่อยู่ คือ 30 ยูโรต่อวัน และ 16 ยูโรสำหรับครึ่งวัน ผมจึงกล่าวขอบคุณและบอกเอาไว้โอกาสหน้าละกันครับ เขายิ้มให้แล้วยังใจดีแถมแผนที่ท่องเที่ยวให้ผมอีกหนึ่งฉบับ ผมรับแผนที่ไว้แล้วกำลังจะเดินไปขึ้นรถไฟเพื่อไปยังเป้าหมายต่อไป ทันใดนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาหาพร้อมขอให้ผมช่วยลงชื่อแผ่นกระดาษ ที่ทำเป็นตารางพร้อมมีสัญลักณ์ สำหรับคนพิการอยู่ตรงมุมบนทั้งสองข้าง เธอบอกว่าเป็นการลงชื่อสนับสนุนและส่งเสริมสิทธิผู้พิการ ผมเห็นว่าก็ดีสิ จึงเขียนชื่อ นามสกุล พร้อมทั้งชื่อประเทศ ก่อนลงลายมือชื่อซ้ำอีกทีที่ช่องสุดท้ายของตาราง จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่ช่องกลางของตารางถามว่าผมจะบริจาคเท่าไร ผมงงนิดๆ ถามด้วยความสงสัยว่า “นี่ผมต้องบริจาคด้วยเหรอ? นึกว่าแค่ลงชื่อเฉยๆ” เธอบอกว่า ต้องบริจาคด้วย ผมเริ่มรู้สึกว่าการร่วมบริจาคเป็นไปด้วยการถูกบังคับ บังเอิญผมมีแค่เหรียญ 2 ยูโรอยู่ในช่องเก็บเหรียญของกระเป๋าสตางค์ นอกนั้นเป็นธนบัตรตั้งแต่สิบยูโรขึ้นไป เธอปฏิเสธเงินสองยูโรเหรียญนั้นของผม และทำท่าไม่พอใจ และเริ่มเสียงดังใส่ผมว่า “ต้องบริจาคขั้นต่ำ 5 ยูโรขึ้นไป” พร้อมทั้งชี้ให้ดูรายการของคนที่ลงชื่อก่อนหน้าผมว่า มีตั้งแต่ห้าถึงสิบยูโรขึ้นไป ถ้าผมไม่มีเงินย่อยเขามีเงินทอนให้ และยังตื๊อไม่เลิก ผมเลยเสียงแข็งใส่บ้าง “ถ้างั้นส่งกระดาษนั่นมา ผมจะขีดชื่อออกและคืนเงินผมมาด้วย!” ผมคว้ากระดาษแผ่นนั้นจากมือเธอด้วยความหงุดหงิด แต่เธอก็ฉกกลับไปทันที แล้วมีเพื่อนคนหนึ่งเดินมาสมทบ เธอหันไปบ่นกับเพื่อนแล้วเดินจากไป ระหว่างที่ก้าวเดินออกมา ก็มีอีกหลายคนที่เดินมาถามผมแบบเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำเป็นเรื่องถูกกฎหมายของฝรั่งเศสหรือเปล่า และทำไมเขาทำอย่างโจ่งแจ้งขนาดนั้น ที่สำคัญเขาเลือกเฉพาะเป้าหมายที่ใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้น ใครเคยเจอแบบนี้หรือมีข้อมูลก็ลองแบ่งปันกันดูนะครับ
ต่อมาผมมุ่งหน้าไปเยี่ยมชมเมืองกลางน้ำ เดินไปมาได้เพียงครู่เดียวรู้สึกว่าสถาปัตยกรรมที่นี่มันใหญ่โตมาก และกว้างใหญ่เกินไป จนไม่รู้ว่าจะเลือกชมส่วนไหน หรือต้องเที่ยวชมยังไงให้ทั่วถึง ความอ่อนเพลีย บวกกับอากาศที่ร้อนระอุ ทำให้ไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ใดๆเหลืออยู่ และรู้สึกว่าอยากพักผ่อนเต็มทีแล้ว จึงก็เดินกลับมาขึ้นรถไฟเพื่อไปซื้อตั๋วขากลับและทำความคุ้นเคยกับเส้นทางใหม่จากสถานีหลักถึงที่พัก สาเหตุที่ไม่ซื้อตั๋วแบบไปกลับตั้งแต่ตอนแรก เพราะผมเซ็คดูแล้วพบว่าแพงกว่าขามาถึงสองเท่าคือ 120 ยูโร จึงคิดว่ามาซื้อที่นี่อาจได้ราคาถูกกว่า คราวนี้ผมเดินไปที่ห้องจำหน่ายตั๋วรับบัตรคิวจากเจ้าหน้าที่ แล้วนั่งรอประมาณชั่วโมงกว่า จึงได้ตั๋วกลับเจนีวาในวันเสาร์รถออกตอนเที่ยงสิบเอ็ดนาที และแอบดีใจนิดๆที่จ่ายค่าตั๋วเพียง 90 ยูโรเท่านั้น ถูกกว่าในเจนีวาจริงๆด้วย แต่ด้วยความเซ่อซ่า พอกลับมาถึงห้องเอาตั๋วขึ้นมาดูอีกที ปรากฎว่าเป็นตั๋วเฟิร์สคลาสซะงั้น ก็เลยคิดว่าไหนๆก็จ่ายไปแล้ว ขากลับได้นั่งมาแบบสบายหน่อยก็ดีเหมือนกัน
นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องวุ่นๆอีกมากมายครับในทริปนี้ เช่นนอนตื่นสายจนเกือบไปสถานีไม่ทัน เพราะตั้งปลุกแล้วแล้วเสียบหูฟังไว้ จึงไม่ได้ยินเสียงปลุก เมื่อไปถึงสถานีก็เกือบตกรถไฟเพราะไปนั่งรอผิดช่อง เป็นการเดินทางที่ทั้งทรหด วุ่นวาย เหนื่อย และก็คุ้มค่ากับประสบการณ์ที่ได้รับครับ ปารีสสำหรับผมในครั้งนี้อาจเป็นการท่องเที่ยวที่ไม่สมบูรณ์แบบมากนัก แต่ผมก็ประทับใจหลายๆอย่างครับ โดยเฉพาะเหตุการณ์ก่อนเดินทาง และระหว่างเดินทาง และเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “บางครั้งการเดินทาง สำคัญกว่าปลายทาง” หากมีโอกาสก็ยังอยากกลับมาชื่นชมเมืองนี้อีกครั้งครับ ในช่วงฤดูหนาวและไม่ต้องเร่งรีบ คงเก็บความทรงจำดีๆได้ไม่น้อยเลยครับ อย่างไรก็ตามการเดินทางช่วงสั้นๆนี้จะเป็นประสบการณ์และความทรงจำที่ดีที่สุดของผมอีกเรื่องหนึ่งครับ
ตอนต่อไป ทริปออสเตรียครับ

บันทึกการเดินทาง ตอนที่ 2 ต่อจากเรื่องหนุงหนิงเมื่อคืน

 ตอนที่ 2 ต่อจากเรื่องหนุงหนิงเมื่อคืน
ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกคนที่อ่านและคอมเม้นนะครับ จริงๆแล้วไม่คิดว่าจะมีใครอ่าน ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะ รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่เดียวดายอีกต่อไป เข้าเรื่องเลยนะครับ.....อากาศหนาวๆ ใจหวิวๆ เหลียวมองเห็นสามสาวกอดกันกลมพร้อมมีกระเป๋าเดินทางกองโตวางอยู่ตรงหน้า รู้ได้ไม่ยากเลยว่าถูกเจ้าหน้าที่เชิญออกจากสถานีรถไฟเหมือนกัน ครั้นจะเดินเข้าไปปลุกมาคุยแบบดื้อๆก็กระไรอยู่ ของแบบนี้มันต้องมีชั้นเชิง ต้องโยนหินถามทางดูก่อน ลักษณะที่นั่งเป็นแบบมีพนักพิงหันหลังชนกัน ทั้งสามคนนั่งฝั่งเดียวกัน ผมจึงแกล้งทำเป็นไปนั่งอีกด้านหนึ่ง ทั้งสามยังไม่รู้สึกตัวส่วนผมก็อยากมีเพื่อนคุยแก้เหงา แก้หนาวด้วยอ่ะนะ จึงเริ่มขยับเดี๋ยวลุกนั่ง เดี๋ยวเหยียดตัวนอน ให้เก้าอี้ไม้ที่เสียงดังออดแอดเป็นนาฬิกาปลุกแทน พอคนซ้ายมือสุดตื่นขึ้นมาเงยหน้ามองมาที่ผม "รอเดินทางเหรอครับ?" ผมเอ่ยถามก่อน "ผมก็เตรียมเดินทางเหมือนกัน แต่ฝากกระเป๋าไว้ข้างใน" ผมเสริมตอนต่อไปทันที ทั้งที่เขายังไม่ทันตอบ เพราะกำลังสับสน และอาจคิดว่าผมเป็นคนเร่ร่อนก็ได้
เมื่อเขาเริ่มเรียบเรียงเหตุการณ์ บทสนทนาทดแทนความหนาวก็เริ่มขึ้น คนกลางเงยหน้าขขึ้นแล้วหันมาตอบคำถามผมว่า "เขาทั้งสามเป็นอาสาสมัครด้านการช่วยเหลือเด็กไร้บ้าน เดินทางมาประชุมที่ สวิสเซอร์แลนด์....
รถมาแล้วไปก่อนนะครับ

ตอนที่ 2 (ต่อ)
เธอทั้งสามคนมาจากโรมาเนียเดินทางมาประชุมที่เฟียร์เบิร์ก เมืองหนึ่งทางตอนเหนือของเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพผู้นำเยาวชน และกลไกการปกป้องคุ้มครองเด็ก เธอยังเล่าให้ฟังอีกว่าเป็นอาสามัครทำงานให้กับองค์กรสงเคราะห์เด็กในโรมาเนีย ซึ่งน่าสนใจมากครับ องค์กรนี้ก่อตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อช่วยเหลือเด็กไร้บ้านที่สูญเสียครอบครัวจากภัยสงคราม โดยทีมผู้ก่อตั้งได้ซื้อคฤหาสน์เก่าหลังใหญ่จากมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง เพื่อแบ่งเป็นห้องๆให้เด็กได้พักอาศัย ปัจจุบันนี้องค์กรดังกล่าวยังให้การอนุเคราะห์แก่เด็กกำพร้า และเด็กยากจนอยู่ โดยมีอาสาสมัครจากทั่วโลกเดินทางมาดูแลเด็กๆ และสอนหนังสือ ช่างเป็นอะไรที่บังเอิญมากครับ เพราะมูลนิธิ PCF ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้โอโอกาสผมมาเรียนที่นี่ ก็เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นด้วยเหตุผลเดียวกัน เป็นการนำเด็กลี้ภัยสงครามจากทั่วโลกมาอยู่ร่วมกัน จนตกผลึกเป็นเป็นองค์ความรู้ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บนความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม และพัฒนาเป็นกระบวนการฝึกอบอรมถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านี้ให้กับผู้ที่สนใจ ซึ่งผมรู้สึกว่าโชคดีมากครับที่เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับโอกาสนี้
เมื่อแลกเปลี่ยนเรื่องงานกันพอสมควร ก็มีคนเสนอเราน่าจะแลกเปลี่ยนภาษากันดูนะ เขาสอนภาษาโรมาเนียนให้ผม ส่วนผมก็สอนภาษาไทยกับภาษาหะเกรี่ยงให้ เริ่มต้นด้วยคำพื้นฐาน เช่นการทักทาย การกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็เป็นคำพูดตลก คำที่ออกเสียงยากๆ อย่างเช่นตัว ง.งู ในภาษาไทยเป็นต้น เราพูดคุยกันเพลินจนเวลาล่วงมาถึงตี่สี่ เจ้าหน้าที่มาเปิดประตูสถานี ผมจึงเอ่ยปากชวนทั้งสามหลบความหนาวเข้าไปนั่งในห้องพักรับรองผู้โดยสารภายในอาคาร นั่งรอต่อสักพักพวกเธอก็ต้องเดินทางกลับโรมาเนียด้วยรถไฟเที่ยวเวลาตีสี่ สี่สิบห้านาที และแน่นอนครับก่อนจากกัน เราไม่ลืมที่จะแอดเฟสกันไว้ ผมดีใจที่ค่ำคืนที่เหว่ว้าที่สุดกลับได้เพื่อนใหม่ถึงสามคน โดยเฉพาะคนที่นั่งตรงกลาง อิอิ
ผมต้องนั่งรอรถไฟคนเดียวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เงียบเหงาเท่าช่วงเวลาก่อนที่จะเจอเพื่อนใหม่ทั้งสามคน ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาในสถานี มองเห็นผู้คนเดินประปรายอยู่ชั้นล่าง เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวกลับมาแทนที่ความเงียบงันในช่วงกลางคืน กระทั่งเวลาตีห้าครึ่ง ผมยกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ขึ้นสะพายไว้ข้างหลังหนึ่งใบ และกระเป๋าคอมพิวเตอร์ที่ด้านหน้าอีกหนึ่งใบ ควักตั๋วและพาสปอร์ตออกมาเตรียมพร้อมไว้ แล้วเดินไปที่ช่องตรวจคนผ่านแดน เพาะจะต้องเดินทางข้ามไปอีกประเทศหนึ่ง แต่ปรากฎว่าไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ประจำจุดตรวจเลย ผมจึงถามผู้โดยสารคนหนึ่งที่ดูท่าทางจะสันทัดเรื่องการเดินทางว่าจะทำอย่างไร เขาบอกว่าก็จวนจะได้เวลาแล้วถ้าเจ้าหน้าที่ไม่อยู่เราก็ต้องไปขึ้นรถไฟตามเวลาแหละมั้ง ผมเดินขึ้นไปที่ชั้นบนยืนรอที่ชานชลาสำหรับผู้โดยสารชั้นสอง แบบชั้นประหยัด เวลาหกโมงเศษรถไฟเข้าเทียบชานชลาผมเดินขึ้นไปมองหาที่นั่ง สภาพเบาะ การออกแบบตกแต่ง และสิ่งอำนวยความสะดวก ถือเหมาะสมกับค่าตั๋วที่จ่ายไปครับ เนื่องจากผมอายุต่ำกว่า 25 ปี จึงจ่ายเพียง 68 fr. จากราคาปกติที่ 99 Fr. ช่วงแรกก็ชุลมุนวุ่นวาย ต่างคนต่างหาที่นั่งของตนเอง ผมจำเลขที่นั่งผิดจาก 84 เป็น 85 ไปแย่งที่คนอื่นเขานั่งอย่างมั่นใจเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจำผิด ขณะที่มีอีกคนมาแย่งที่นั่งหมายเลข 84 ของผมไปเหมือนกัน เมื่อต่างคนต่างได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้วแม้ไม่ใช่ที่นั่งตนเอง เราก็ไม่มีปัญหาอะไร ทว่าการเดินทางบนรถไฟของผมกลับเป็นไปด้วยความตื่นเต้นและขวยเขิน เพราะเธอ....เธอคนที่มาแย่งที่นั่งผมไป ช่างสะดุดตาเหลือเกินด้วยการแต่งตัวที่ดูดีเป็นพิเศษ เธอเดินทางด้วยชุดสีขาว กระโปรงสั้นเลยหัวเข้ามานิดหน่อย เย็บเป็นกลีบคล้ายคลื่นปุยเมฆ และเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทอีกตัว เครื่องประดับตามข้อมือ และสร้อยคอ รวมทั้งกระเป๋าถือสีเทาเข้ม และกระเป๋าเดินทางสีทองใบเล็กที่วางอยู่ข้างกายเธอ ดูแล้วคงราคาแพงน่าดูครับ แต่ที่ดึงดูดความสนใจผมให้หันไปมองเธอแทบทุกครึ่งนาทีเลยก็คือ เสียงถอนหายใจ และใบหน้าสวยๆที่กลัดกลุ้มอยู่ เธอบิดตัวซ้ายขวาแล้วถอนหายใจและขมวดคิ้วอยู่อย่างนั้น เห็นแล้วผมอยากพูดคุยกับเธอเหลือเกินว่า “คุณดูเครียดไปนะ เป็นอะไรไหม? อยากดื่มอะไรหรือเปล่า หรืออยากคุยกับใครสักคนเพื่อให้ผ่อนคลายไหม? “ คำพูดเหล่านี้ดังก้องอยู่ในใจผม และแว่วอยู่ในหูตัวเอง ผมเชียร์ตัวเองให้พูดออกไป แต่ก็ติดอยู่ตรงที่ปลายลิ้น มันไม่กล้าจริงๆ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนคนกำลังจะกระโดดลงไปในน้ำ ทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็นและไม่รู้ว่าน้ำลึกเท่าไร โดดลงไปแล้วจะเป็นอย่างไร ทั้งความสงสัยและมนต์เสน่ห์ของเธอกดดันผมจนรู้สึกอึดอัดไม่แพ้กัน จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่กล้าที่จะทักไปเพราะเกรงว่าคำพูดที่เรียบเรียงมาจากใจเหล่านั้นอาจไม่สมบูรณ์แบบพอ ผมอาจหน้าแตก หรือยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปกว่าเดิม ผู้หญิงคือสิ่งที่เข้าใจยากที่สุดเลยว่าไหมครับ ผมมัวแต่ลังเลอยู่นาน จนเธอหยิบหูฟังขึ้นมาอุดหูไว้ ที่นี้ก็ชัดเจนเลยว่าหมดโอกาสแล้ว ผมเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมานิดๆ เพราะยังไม่ได้ทานอะไรเลยในเช้านี้ จึงลุกจากที่นั่งเดินไปที่บาร์ซึ่งอยู่ติดกับห้องที่เรานั่งอยู่พอดี ผมขอกาแฟร้อนและช็อคโกแลตแท่งมารองท้องไปพลาง ไม่น่าเชื่อว่าราคาสินค้าบนรถไปจะถูกกว่าบู๊ทขายของริมถนนในเมืองเจนีวาเสียอีก
จากเจนีวามาถึงปารีสในเวลา สิบนาฬิกากับอีกสิบนาทีพอดิบพอดี พอลงรถผมเดินวนด้วยความมึนงงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตั้งหลักได้ว่า ต้องเริ่มต้นด้วยการไปแลกเงินจากสวิสฟรังค์เป็นยูโรเสียก่อน จากนั้นค่อยไปจัดการซื้อตั๋ว และตอนี้นี่เองผมก็ได้ซื้อบทเรียนราคาแพงมากอีกบทเรียนหนึ่ง คืออัตราการแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมที่มหาโหด ผมแลกไป 300 ฟรังค์แต่ได้มาแค่ 234 ยูโร ส่วนที่เหลือเป็นค่าส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งแตกต่างกันไม่มากเท่าไรนัก แต่ที่โดนหักเยอะเพราะค่าธรรมเนียม คิดเป็นเงินไทยผมขาดทุนไปราวๆ 1,600 บาท แอบด่าตัวเองที่ชะล่าใจไม่ยอมแลกตั้งแต่ตอนที่อยูเจนีวา เพราะเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้ผมแลกเงินในสนามบินได้กลับมาเกือบเท่าเดิม แถมไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วย หากใครคิดจะเดินทางมาที่นี่ลองศึกษาอัตราการแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมดูก่อนนะครับ บางทีแลกในบ้านเราอาจคุ้มค่ากว่า
บทเรียนที่สองผมโดนสอนเรื่องมารยาทครับ ก็หลังจากที่แลกเงินเสร็จแล้วตั้งใจจะมาซื้อตั๋ว เดินดุ่มๆเข้าไปในห้องจำหน่ายตั๋ว พยายามมองหาว่ามันต้องไปกดบัตรคิวที่ไหนกันนะ..เหลือบไปเห็นเครื่องหนึ่งตั้งอยู่มีปุ่มกดตรงกลางคล้ายๆกับตู้กดบัตรคิวตามธนาคารในบ้านเรา ผมกดไปทีนึงก็ไม่เห็นมีอะไรออกมา เอ๊ะ หรือว่ามันต้องกดแรงกว่านี้ ลองกดย้ำดูอีกทีก็ไม่เห็นมีอะไรออกมา ผมชะเง้อมองไปด้านข้าง ด้านหลังก็ไม่เห็นมีอะไรออกมา จนลุงที่ยืนข้างๆผม ถามว่าจะทำอะไรเหรอ? ผมบอก "จะกดบัตรคิวเพื่อซื้อตั๋วแบบรายวันภายในปารีสครับ" ตั๋วรายวัน หรือ One day ticket คือตั๋วโดยสารแบบที่สามารถขึ้นรถได้ทั้งรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน และรถโดยสารประจำทางภายในหนึ่งวัน โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาซื้อทุกครั้งก่อนจะขึ้นรถ คุณลุงใจดีก็บอกว่า “โอ้...ถ้างั้นก็มาผิดช่องแล้วหล่ะ ช่องนี้เป็นช่องทางรถไฟสายหลักในยูโรป นู่นนะ ต้องเดินไปช่องแรกสุดเลย ช่องนั้นจำหน่ายตั๋วภายในปารีส” ลุงชี้มือไปทางแรกที่ผมเดินผ่านมาซึ่งห่างกันเกือบสองร้อยเมตร ผมกล่าวขอบคุณลุงคนนั้นและกำลังจะเดินออกจากที่นั่น ทันใดนั้นก็มีป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาต่อว่าผม “นี่ คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ คุณต้องต่อคิว ไม่เห็นเหรอว่าพวกเรากำลังรอคิวเพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่ คนจะถามคนอื่นไม่ได้ ต้องต่อคิวเพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่เท่านั้น บลา ๆ ๆ ๆ ” ความรู้สึกของป้าคนนี้คงประมาณว่าเขารอคิวมานานแล้ว แล้วรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมทีผมได้ข้อมูลจากคนอื่น เพราะที่นี่เป็นแบบรับบัตรคิวแล้วยืนรอกันเรียงราย ไม่ได้ยืนกันเป็นแถวผมก็เลยดูไม่ออก ที่จริงผมอยากอธิบายว่าก็กำลังจะกดบัตรคิวอยู่นี่ไง แต่ไม่รู้มันต้องทำยังเนี่ย! แต่ไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย ผมก็เลยบอกว่า “งั้น..ผมขอโทษละกันนะ แล้วก็เดินออกมา ส่วนป้าก็มองผมด้วยหางตา แล้วพูดว่า “Never mind” พร้อมเชิดใส่นิดๆ ผมเดินมาที่ช่องจำหน่ายตั๋วช่องแรกตามคำบอกของคุณลุงท่านนั้น รออยู่นานพอสมควร เพราะมีช่องสำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษเพียงสองช่องเท่านั้น เมื่อถึงคิวผม ผมบอกกับพนักงานหนุ่มท่านนั้นว่า
ผม : สวัสดีครับ ผมอยากได้ตั๋วโดยสารแบบ วัน เด ทิคเก็ต ครับ
พนักงาน : ได้ครับ 7 ยูโร ครับ ใช้ได้ถึงเที่ยงคืนนี้นะครับ
ผม : อ้าว นึกว่าใช้ได้ยี่สิบสี่ชั่วโมง ผมจะใช้ถึงพรุ่งนี้เช้าครับ
พนักงาน: บัตรแบบวัน เด ทิคเก็ต จะใช้ได้ถึงเที่ยงคืนของวันที่ซื้อเท่านั้น ถ้าจะใช้ถึงวันพรุ่งนี้เช้าต้องบอกว่า ทู เดย์ ทิคเก็ต
ผม: โอเค งั้นทู เดย์ ทิคเก็ต ครับ
พนักงาน: 14 ยูโร ครับ
เมื่อผมจ่ายตังค์เรียบร้อยแล้วก็ได้บัตรโดยสารที่พร้อมเดินทางทั่วปารีส ที่เหลือก็แค่ต้องเขียนชื่อและกรอกอวันที่ลงบนบัตรก็เป็นอันใช้ได้ครับ ขั้นตอนต่อไปคือต้องเดินทางไปที่พักซึ่งอยู่ห่างจากสถานีหลักประมาณ 9 กิโลเมตร ตามระทางโดยกูเกิลแมป
กูเกิลแมป เป็นแผนที่ที่เชื่อถือได้ในระดับหนึ่งนะครับ สามารถพาเราไปถึงที่หมายได้ตามเส้นทางที่มีอยู่หลายเส้นทาง แต่ประเด็นคือ จะเป็นเส้นทางที่คนในพื้นที่เขาใช้เดินทางเป็นประจำหรือเปล่า เพราะถ้าไม่อย่างนั้นอาจจะไม่มีรถโดยสารประจำทาง หรือแท็กซี่คอยให้บริการหลังจากลงรถไฟ นั่นก็จะเป็นโชคร้ายสำหรับเรา เช่นการเดินทางของผมในครั้งนี้ครับ....คืนก่อนจะออกเดินทางผมได้ดาวน์โหลดแผนที่การเดินทางจากกูเกิลแมป มาไว้ในมือถือ เป็นเส้นทางจากสถานีรถไฟหลักถึงโรงแรมที่ผมจองห้องพักไว้ เริ่มด้วยการขึ้นรถไฟใต้ดินต่อแรก มาถึงสถานีชื่อเนชั่น จากนั้นต้องสายที่ 9 เพื่อไปลงสถานีที่ใกล้ที่พักที่สุด ผมนั่งจากสถานีเนชั่นมาประมาณ 10 นาเห็นจะได้นะ จู่ๆรถไฟก็จอดตรงสถานีกลางทางแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีบอกไว้ในกูเกิลแมป มีเสียงประกาศจากระบบเป็นภาษาฝรั่งเศส ผู้โดยสารต่างพากันลงรถไปจนหมด เหลือผมอยู่คนเดียว เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล ทันใดนั้นก้มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมากวักมือเรียกผมลงไป ผมขยายภาพในจอโทรศัพท์ให้เธอดูสถานีปลายทางที่ผมต้องไป เธอยิ้มให้แล้วส่งภาษามือเป็นที่เข้าใจว่าผมต้องลงจากรถเพื่อไปรอขึ้นอีกขบวนหนึ่งที่อยู่ฝรั่งตรงข้าม ไม่นานเกินรอรถไฟก็เข้าเทียบชานชลา เธอส่งสัญญาณให้ผมว่าขบวนนี้แหละ ผมจึงก้าวขึ้นไปพร้อมสัมภาระที่รุงรังและต้องยืนโหนแทน เพราะคนแน่นมาก จนแทบจะหายใจไม่ออกเลย และแล้วผมก็มาถึงสถานีปลายทางซึ่งเป็นสาถนีสุดท้ายของสายนี้ เหมือนที่บอกไว้ในกูเกิลแมปเป๊ะเลย กำลังจะดีใจว่ากูเกิลนี่ก็แม่นใช้ได้เลยทีเดียว แต่ก็ต้องจ๋อยทันทีครับ เพราะเมื่อเดินออกจากสถานีมองไปทางไหนก็ไม่มีแท็กซี่จอดอยู่เลย ถ้าจะใช้บริการก็ต้องโทรเรียกเอา แม้จะมีรถโดยสารประจำทางอยู่ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าต้องขึ้นสายไหนอีก อินเตอร์เน็ตก็ไม่มีให้เช็ค ผมเปิดแอพในโทรศัพท์ที่มีแผนที่แบบออฟไลน์พบว่าเหลือระยะทางอีก 4.6 กิโลเมตรจะถึงที่หมาย ตอนนั้นผมสูดหายใจเข้าลึกๆ กระชับกระเป๋าให้มั่น เกรงกล้ามเนื้อขาให้ตึง และตัดสินใจเดินเท้าแทน คิดในใจว่าไกลกว่านี้ก็เคยเดินมาแล้ว แค่นี้สบายมาก แต่ด้วยน้ำหนักกระเป๋าสองใบรวมกันเกือบ 27 กิโลกรัม ก็ทรหดพอสมควร ผมกดปุ่มนำทางแล้วเดินตามลูกศรชี้มาเรื่อยๆ จนผ่านมาได้ประมาณ 1 กม. เริ่มมีความรู้สึกว่าระยะทางมันไกลขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมองดูโทรศัพท์ระยะทางคงเหลือมันลดลงช้าเหลือเกิน แดดก็ร้อนจัดมากในขณะนั้น เหงื่อเริ่มไหลพรากลงมาตามใบหน้า ได้ลิ้มรสเค็มๆแล้วทำให้นึกได้ว่านานเหมือนกันที่ไม่ได้ขับเหงื่อออกมาแบบนี้ ทันใดนั้นมีรสบัสประจำทางสาย 129 วิ่งผ่านผมไปจอดตรงป้ายข้างหน้า ตอนนั้นแอบมีหวังนิดหน่อย จึงเร่งฝีเท้าตามไปดู ปรากฎว่าไม่มีชื่อป้ายไหนใกล้เคียงกับที่ที่ผมจะไปเลย สุดท้ายก็คอตก ทำใจให้เดินต่อไปเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกว่าฝ่าเท้ากำลังปวดระบมอยู่ มองจอโทรสับทีไรก็ยังไกลเหมือนเดิม จึงจำแผนที่บนจอไว้ว่าต้องเดินตรงไปเรื่อยๆอีก 2 กิโลเมตร แล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า เพราะยิ่งลุ้นก็เหมือนยิ่งช้า พยายามคิดถึงเรื่องอื่นดีกว่า เช่นชมบรรยากาศสองข้างทางที่มีร้านค้าและร้านอาหารตั้งอยู่เรียงราย ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารเวียตนาม อาหารอินเดีย และร้านอาหารจีน เดินต่อมาได้พักใหญ่จึงควักโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง ก็เหลือระยะทางอีกประมาณ 1.5 กม. กำลังใจเริ่มกลับมาในที่สุดก็เดินมาได้ถึง 3 กิโลเมตรแล้ว และแล้วรถบัสสาย 129 สายเดิมก็วิ่งผ่านผมไปอีกคน นี่ถ้ารู้ว่ามันจะมาไกลขนาดนี้ก็คงขึ้นไปตั้งแต่ตอนแรกแล้ว แต่ก็เช็คไม่ได้อีกนั่นแหละครับ เพราะแผนที่บอกแต่ชื่อถนนไม่ได้บอกชื่อป้ายจอดรถประจำทาง จึงก้มหน้าเดินต่อไปเรื่อยๆ รถบัสสาย 129 ก็วิ่งผ่านผมไปคันแล้วคันเล่า จนมาแยกกันช่วง 200 เมตรตรสุดท้าย ตรงวงเวียนก่อนจะถึงที่พักของผม รสบัสขับเลี้ยวไปทางขวา ส่วนผมต้องข้ามถนนไปฝั่งซ้าย มองเห็นป้ายโรงแรมตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ผมก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย มาถึงโรงแรมเวลา 11.45 นาฬิกา ที่จริงแล้วก็มาถึงเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะปกติแล้วโรงแรมจะรับเช็คอินตอนบ่ายสองตามข้อมูลที่แจ้งไว้ในการจอง ผมเดินไปที่เค้าเตอร์ยื่นเลขที่การสำรองห้องพัก และชื่อนามสกุลให้เจ้าหน้าที่ดู เธอใช้เวลาค้นหาอยู่พักหนึ่งจึงเจอรายการที่ผมทำการจองไว้เพียงหนึ่งวันก่อนหน้านี้ จากนั้นผมก็จ่ายเงินค่าที่พักแล้วขึ้นห้องเอาสัมภาระไปเก็บ
ผมใช้วิธีการสำรองห้องพักผ่านทางเว็บไซต์ Booking.com ประเภทจ่ายเงินเมื่อเข้าพัก ข้อดีคือไม่ต้องยุ่งยากเรื่องการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตที่ต้องใช้รหัสโน่น นี่ นั่นเยอะแยะมากมาย ผมใช้เลขที่บัตรเดบิตเก่าของธนาคารกรุงไทยที่ทำไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่คงไม่มีเงิน หรืออาจโดนตัดไปแล้วก็ได้ ซึ่งต้องกรอกรหัสเพื่อยืนยันการจองเท่านั้นไม่มีการหักเงิน และไม่ต้องกรอกเลข CV code ด้วย ผมเลือกพักที่นี่เพราะเรื่องราคาครับแม่อาจจะไกลตัวเมืองไปหน่อยก็ตาม ผมจ่ายค่าห้อง 39 ยูโรสำหรับหนึ่งคืน และซื้ออาหารเช้าเพิ่มอีก 4.80 ยูโร โรงแรมนี้ชื่อ Premiere Class Hotel, Rosny Sous Perriere ห้องพักดูเหมือนจะมีการปรับปรุ่งใหม่ สะอาด น่าอยู่มากครับไม่คับแคบเกินเกินไป มีตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำในตัว โต๊ะอ่านหนังสือ แอร์คอนดิชั่น และโทรทัศน์ด้วย โดยส่วนตัวแล้วพอใจกับที่นี่ครับ ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคา
เมื่อเก็บสัมภาระเข้าที่ อาบน้ำอาบท่าพักผ่อนให้หายเหนื่อยแล้ว ผมก็หยิบสมุดพกกับปากกาลงไปขอข้อมูลเรื่องการเดินทางแบบที่คนท้องถิ่นเขาทำกัน เพราะเข็ดแล้วกับแผนที่ของกูเกิล ผมขอวิธีการเดินทางไปสองที่ครับที่แรกคือ ไปหอไอเฟล และอีกที่คือทางกลับไปสถานีหลัก เธอให้แผนที่เส้นทางเดินรถไฟและสถานที่ท่องเที่ยวผม พร้อมทั้งบอกเส้นทางด้วยความสุภาพนุ่มนวล ปรากฎว่าสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากโรงแรมเพียง 15 นาทีด้วยการเดินเท้า เพียงแต่ต้องลอดใต้สะพานลอยไป คงเพราะอย่างนี้มั้งครับ กูเกิลก็เลยคำนวนซะไกลโขเลย จากนั้นผมขึ้นมาศึกษาแผนที่ต่อบนห้อง กากบาทสถานที่ที่น่าสนใจ ศึกษาเส้นทางรถไฟสายต่างๆ ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ครับ จากนั้นหยิบกระเป๋าตังค์ สะพายกล้อง พร้อมสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการตะลุยปารีสและพร้อมออกหาประสบการณ์ต่อครับ
ถ้ายังไม่เบื่อติดตามตอนที่ 3 ตะลุยปารีส นะครับ

บันทึกการเดินทาง ตอนที่ 1 การผจญภัย

การผจญภัย ตอนที่ 1 (เขียนจากเรื่องจริง แต่อาจไร้สาระไปนิดครับ)
เรื่องเดิมเรื่องใจโลเลว่าจะตัดสินใจไปเที่ยวดีหรือไม่ กว่าจะตกลงปลงใจว่าไปก็เกือบไม่ทันการณ์ แล้วต้องเร่งตระเตรียมการเดินทางแบบกระชั้นชิด เริ่มด้วยการซื้อตั๋วตอนหกโมงเช้า ของวันที่ 25 มิถุนายน เพื่อจะเดินทางในวันรุ่งขึ้น เวลา 06.13 น. เหมือนทุกอย่างจะราบรื่น แต่บังเอิญบางอย่างไม่เป็นไปตามแผน เรื่องวุ่นๆก็เลยเกิดขึ้นครับ...
วันพฤหัสบดีที่ 25 เป็นวันสุดท้ายของการฝึกงานในเจนีวาและตัดสินใจจะไปเที่ยวปารีสในวันรุ่งขึ้น ซึ่งได้จัดการซื้อตั๋วและจองที่พักอย่างเรียบร้อย ซึ่งต้องออกเดินทางจากเจนีวา เวลา 06.13 น. แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านพักเห็นป้ายประกาศรถประจำทางหยุดให้บริการในช่วงเช้า เป็นเวลา 3 วัน เนื่องจากมีการก่อสร้างถนน งานเข้าสิครับ ตอนนั้นมีทางเลือกอยู่ 3 ทาง คือ วิธีแรกโทรไปเลื่อนตั๋ว ปรากฎว่าเค้าน์เตอร์ปิดทำการแล้ว ไม่สามารถดำเนินการได้ ทางที่สองอาจเสี่ยงหน่อย คือเรียกใช้บริการแท็กซี่ ซึ่งต้องออกเดินทางจากที่พักตั้งแต่ตีสี่ แต่ปรากฎว่าพี่แท็กซี่พูดแต่ภาษาฝรั่งเศส ทำเอาเบลอกันทั้งคู่ เหลือทางเลือกสุดท้ายคือเก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วแบกขึ้นรถมาลงที่เจนีวา เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่สถานีรถไฟ ซึ่งเป็นตู้รับฝากอัตโนมัติ แบบไม่มีกุญแจให้ แต่ต้องรับเป็นใบเสร็จแล้วแสกนบาร์โค้ดแทนเมื่อต้องการรับกระเป๋าคืน เสียค่าบริการครั้งละ 8 สวิสฟรังค์ เพื่อความมั่นใจเลยลองแสกนบาร์โค้ดดู ประตูเปิดทันที แต่หารู้ไม่ว่ามันใช้ได้แค่ครั้งเดียว เลยต้องหยอดเหรียญเข้าไปเพื่อฝากอีกครั้งหนึ่ง สรุปแล้ว หมดไป 16 เหรียญกับการซื้อบทเรียนตู้รับฝากสัมภาระอัตโนมัติ ตอนนี้ก็เหลือแต่ตัวเปล่ากับกระเป๋าตังค์ค่อยสบายตัวขึ้นมาหน่อย เหลือบดูเวลาเกือบจะห้าทุ่มแล้ว ตอนนี้ชั่งใจอีกครั้งว่าจะหาที่พักดีหรือเปล่า คิดไปคิดมาคงไม่คุ้ม เพราะค่าที่พักเริ่มต้นที่ 90 fr. แล้ว สำหรับลูกค้าที่ไม่ได้จองล่วงหน้า เลยคิดว่า เอาก็เอาว่ะ ไหนๆ ก็ว่างแล้ว ลองดื่มด่ำกับแสงสียามค่ำคืนของเมืองนี้สักครั้ง จึงมุ่งหน้าตรงไปริมทะเลสาบมีร้านค้ามากมาย พร้อมแสงสีและดนตรี บังเอิญมีการแข่งขันวอลเล่บอลชายหาดรอบสุดท้ายของคืนนี้พอดี ผู้คนจึงยังพลุกพล่านอยู่ ไม่วังเวงเกินไป มีบู๊ทขายอาหารตั้งเรียงราย ผมเดินวนอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจสั่งเมนูสเต้กเนื้อ เพราะคิดว่าได้เยอะที่สุดแล้วสำหรับอาหารราคา 12 fr. ระหว่างที่รอผมสั่งเบียร์ขวนนึงดื่มคั่นเวลา ผ่านไปเกือบสามสิบนาที จนเบียร์หมดขวด ผมก็ยังไม่ได้กินเลย ก็แน่หละครับ เพราะแม่ค้าเป็นนักศึกษาหารายได้พิเศษหลังเลิกเรียนไม่ใช่แม่ค้ามืออาชีพ คงต้องใช้เวลาหน่อย ผมจึงสั่งเบียร์เพิ่มอีกขวดขณะที่แม่ค้าจำแลงกำลังทะมัดทะแมงตกแต่งจานสเต้กของผมอยู่ สุดท้ายเกือบสี่สิบห้านาที ผมจึงได้ทาน แต่ไม่ว่านานเท่าไรก็รอครับ เพราะมันคุ้มเมื่อได้เห็นรอยยิ้มสวยๆกับสเต้กพร้อมทาน.
กินไปนั่งไปชิลๆ เห็นชายคนหนึ่งเดินขายดอกกุหลาบในบริเวณนั้น ผมสังเกตุว่า เขาจะไม่เดินไปเสนอขายดอกไม่สุ่มสี่สุ่มห้า แต่เขาจะมองดูรอบๆ แล้วเดินไปหาลูกค้า จากนั้นก็หยุดยืนสังเกตุก่อนจะเดินไปหาลูกค้ารายต่อไป ผมคิดว่าเขามีสมาธิ จดจ่อและไตร่ตรอง แตกต่างจากผมเลยครับ ในตอนนั้นจิตใจล่องลอย..เพ้อ...อิอิ
เมื่อราตรียามเที่ยงคืนมาเยือน ผู้คนเริ่มซาหายไปจากบริเวณนั้น ผมเองก็เดินลัดเลาะตามตรอกซอย พยายามมองหาที่นั่งต่อ แต่ดูๆแล้วคงนั่งไม่ไหว ราคาอาหารแต่ละอย่าง ซื้อมาม่าบ้านเราได้เป็นกล่องเลย จึงเดินต่อมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงสถานีรถไฟที่ฝากของไว้ ขึ้นไปนั่งรอในห้องรับรองผู้โดยสาร พอเริ่มง่วงเลยเดินไปหาที่นอนที่ชานชลาชั้นสอง อากาศเริ่มหนาวมากขึ้น แต่เสื้อกันหนาวผมอยู่ในตู้ ถ้าจะเอาออกก็ต้องจ่ายอีก 8 เหรียญ แต่โชคดีมีที่นั้งยาวว่างอยู่ที่หนึ่ง และอยู่ในห้องกระจกสำหรับผู้โดยสารที่ไม่สูบบุหรี่ จึงเข้าไปนอนในนั้น ยังไม่ทันงีบหลับเลยมัวแต่คิดอะไรไปเพลินๆ เวลาผ่านมาถึงตีสองครึ่ง มีเจ้าหน้าที่สองนายมาไล่ออกจากสถานี บอกว่าจะปิดทำการสองชั่วโมง เลยออกมาเดินโต๋เต๋ข้างนอก หนังสือไม่มีให้อ่าน โทรศัพท์แบตหมด อากาศหนาว ขี้เหล้าก็ป้วนเปี้ยน บ้างก็ทักเราด้วยภาษาแปลกๆ บ้างก็ตะโกนเอะอะโวยวายตามประสา สิ่งที่ทำได้คือเดินจงกรมไปมาให้ร่างกายอบอุ่น และรอเวลาให้สถานีเปิดทำการอีกครั้งตอนตีสี่ ทันใดนั้นมองเห็นสาวๆ สามคนพร้อมกับกระเป๋าเดินทางจำนวนหนึ่ง คาดว่าคงโดนไล่ออกมาจากสถานีเหมือนกัน จึงตัดสินใจเดินเข้าไปทักทาย..เลยรู้ว่า....
ติดตามตอนต่อไปนะครับ

Wednesday, July 22, 2015

ความอ่อนไหวต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม

Developmental Model of Intercultural Sensitivity (DMIS)
แบบแผนพัฒนาการของความอ่อนไหวต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม

พัฒนาการด้านอัตลักษณ์และวัฒนธรรมนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้และปรับตัวเพื่อเลือกรับและดำรงอยู่บนฐานวัฒนธรรมนั้นๆ เมื่อปฏิบัติตัวให้เคยชินเป็นระยะเวลานานๆและติดเป็นนิสัย พฤติกรรมเหล่านั้นที่ผ่านการหล่อหลอมจากวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมจะกลายเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคล โดยปกติแล้วคนเรามีอัตลักษณ์สองแบบ คือ ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เช่นเชื้อชาติ สีผิว ยีน และเพศ เป็นต้น เหล่านี้จะเป็นอัตลักษณ์ถาวร ส่วนอีกประเภทหนึ่งหนึ่งคือ อัตลักษณ์ที่เกิดจากการหล่อหลอมภายหลัง อาจด้วยปัจจัยทางสังคม หรือสภาพแวดล้อมก็ตาม เช่น การเลือกเพศเมื่อโตขึ้น  การเปลี่ยนศาสนา  การชื่นชอบดนตรี หรือกีฬา ท่วงท่าทำนองของอริยาบถต่างๆ สิ่งเหล่านี้สามารถเรียนรู้และฝึกฝนภายหลังได้ และอาจเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ดร. Larke Haung นักจิตวิทยาชาวจีน และผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมสุขภาวะทางพฤติกรรม กล่าวว่า บุคคลหนึ่งสามารถมีได้หลายอัตลักษณ์ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสภาพแวดล้อม อาทิ ณ เวลาหนึ่งผู้คนรู้จักเราในฐานะที่เป็นครู แต่อีกเวลาหนึ่งที่บ้านลูกๆ รับรู้ในฐานที่เป็นพ่อหรือแม่  อย่างไรก็ตาม แม้ในช่วงเวลาเดียวกัน สถานที่เดียวกัน เราก็มักมีสองอัตลักษณ์หรือมุมมองเสมอ คือ มุมมองที่คนอื่นมองเรา กับมุมมองที่เราเห็นตนเอง

           แบบแผนพัฒนาการของความอ่อนไหวต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Sensitivity of Intercultural) เป็นทฤษฎีสรุปพฤติกรรมของมนุษย์เราเพื่อแสดงถึงความอ่อนไหวทางวัฒนธรรม และการปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมีที่แตกต่างจากตนเอง โดยมีการแบ่งออกเป็นสองหวดหลักดังนี้
1)  Ethnocentric ชาติพันธ์นิยม หรือการยึดมั่นกับชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของตนเอง คนเหล่านี้จะมีปฏิกิริยา โดยจำแนก 3 ประการเมื่อต้องเจอกับวัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้แก่
1.1          Denial การปฏิเสธ คนที่อยู่ในประเภทนี้จะไม่ยอมรับ ไม่เปิดใจอย่างเด็ดขาดเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ และเชื่อว่า มีเพียงวัฒนธรรมของตนเองอย่างเดียวเท่านั้น วัฒนธรรมใดอื่นย่อมไม่เป็นที่ยอมรับ
1.2          Defense ปกป้อง ประเภทที่สองนี้ รับรู้และยอมรับว่ามีวัฒนธรรมอื่นอยู่ แต่ยึดถือวัฒนธรรมของตนเองเป็นหลักว่าดีที่สุด ไม่มีใครอื่นเหนือกว่า
1.3          Minimization การลดทอน  ประเภทที่สามนี้คือลดทอนความเชื่อมั่น และถ่อมตัวจนเกินไป โดยยกย่องให้วัฒนธรรมอื่นเหนือกว่าวัฒนธรรมของตนเองเสมอ และมักไม่พอใจหรือยอมรับในวัฒนธรรมและสังคมที่ตนเองผูกพันธ์อยู่
      2)   Ethnorelative ชาติพันธ์สัมพันธ์ เป็นกลุ่มที่เรียนรู้และยอมเปิดใจมากกว่ากลุ่มแรก มีการศึกษาและเรียนรู้วัฒนธรรมที่อื่นๆ เพื่อที่จะยอมรับหรือปรับตัวเข้าหากัน เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม โดยแบ่งออกเป็นสามประเภทเช่นกัน ได้แก่
2.1 Acceptation การยอมรับ  กล่าวคือยอมรับว่าในสังคมมีผู้คนที่เต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม ให้ความเคารพต่อผู้คนที่มีวัฒนธรรมที่ต่างจากตน แต่ยังยึดถือวัฒนธรรมของตนเองเป็นหลัก
2.2   Adaptation การปรับตัว หมายถึงพยายามปรับตัวจากวัฒนธรรมของตนเอง เป็นอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ทั้งนี้ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น การปรับตัวรับวัฒนธรรมใหม่ไม่ได้หมายถึงการปรับเปลี่ยนทุกอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ ให้มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง หากแต่ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมในขณะนั้น เป็นไปได้ทั้งปรับเปลี่ยนแบบถาวร หรือกลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อผ่านพ้นช่วงเวลานั้นๆ เช่น เราใช้ช้อนส้อมในการทานข้าวอยู่ในเมือง แต่อาจต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทานข้าวด้วยมือเปล่าในสังคมดั้งเดิม เป็นต้น
2.3 Integrate  การผสมผสาน คือยังดำรงวัฒนธรรมแบบเก่า แต่ก็รับวัฒนธรรมใหม่เข้ามาด้วยแต่มีการผสมผสานให้ลงตัว หากยกตัวอย่างจากด้านบนมาก็เปรียบได้กับการทานข้าวด้วยมือเปล่า แต่ใช้ช้อนเพื่อซดน้ำแกงบ้าง เป็นต้น
การเรียนรู้ปฏิกิริยาการปรับตัวหรือความอ่อนไหวต่อความหลากลายทางวัฒนธรรม จะช่วยให้เราเข้าใจบุคคลิคและอัตลักษณ์ของแต่ละคนง่ายขึ้น รวมทั้งสามารถชักจูงหรือทำให้คนที่มีมุมมองปิดสนิท ได้เปิดเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างได้ เพื่อให้คนในสังคมมีความเข้าใจกันมากขึ้น และอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายอย่างสันติ.


Saturday, June 6, 2015

Elephant Metaphor ตาบอดคลำช้าง

ตาบอดคลำช้าง "รัฐบาล  คนจน และชนชั้นกลาง"
 เมื่อคนเรามีความแตกต่างในบทบาท   ต่างจุดยืน  ต่างมุมมอง  ต่างการรับรู้ แม้จะเป็นของสิ่งเดียวกัน ก็อาจเกิดความเข้าใจที่คาดเคลื่อนและผลสรุปที่แตกต่างกันได้ ดังเช่นนิทานเรื่องคนตาบอดที่ไม่เคยเห็นช้างมาก่อน มาสัมผัสช้างในจุดที่แตกต่างกัน ก็ให้คำตอบที่แตกต่างกัน คนที่จับขาช้าง  บอกว่าช้างคือเสา  คนที่จับหางช้าง บอกว่าช้างก็เหมือนเชือกนั่นแหละ ส่วนอีกคนที่จับงวงช้าง ก็มั่นใจว่าช้างนั้นคืองูตัวใหญ่ เป็นต้น

เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์บ้านเราขณะนี้ ก็คงเหมือนกันโดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการทวงคืนผืนป่า  ด้วยการตัดต้นยางพาราและไล่ยึดที่คืนเป็นของรัฐ เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าให้กับประเทศที่นับวันก็ยิ่งเหลือน้อยลงทุกที ในมุมมองของรัฐบาล ก็ต้องทำหน้าที่ในการปกป้องทรัพยากรของชาติอย่างเต็มที่ โดยยึดถือกฎหมายเป็นหลัก ทุกการดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย หรือภายใต้มาตรา 44 ถือว่ามีความชอบธรรมโดยสมบูรณ์ ส่วนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ก็มองว่านโยบายบายนี้ไม่เป็นธรรมเสียเลย  เป็นเพราะรัฐเองที่ไม่ใส่ใจเรื่องการจัดทำขอบเขตที่ดินให้จัดเจนตั้งแต่ตอนต้น  บางชุมชนอาศัยอยู่มาก่อนการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ นี่หรือคือการคืนความสุขให้ประชาชน ด้วยการทำลายสิ่งที่ชาวบ้านสร้างมาทั้งชีวิต  ส่วนที่น่ากลัวที่สุดคือกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลาง รับฟังข่าวสารจากสื่อต่างๆ ที่จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ใส่สีใส่ไฟกันไป บ้างก็เห็นใจชาวบ้าน บ้างก็เห็นด้วยกับรัฐบาลว่าควรจัดการพวกละเมิดกฎหมายให้เด็ดขาดกันไป ต่างฝ่ายต่างแสดงความเห็นโต้ตอบกันอย่างดุเดือดและไร้ความรับผิดชอบบนพื้นที่สื่อออนไลน์  แต่มีกลุ่มหนึ่งที่ไม่กล้าเปิดเผยตัวจริง นั่นคือกลุ่มนายทุน พวกนี้คือพวกฉวยโอกาสตัวจริงและรู้ทางหนีทีไล่ และฉลาดพอที่จะหลบกระแสสังคมอย่างเงียบๆ เพราะรู้ว่าไม่เป็นผลดีแน่หากออกมาตีปี๊บโต้ตอบ เพราะจะโดนเล่นงานจากทั้งรัฐบาล ชาวบ้านและกลุ่มคนส่วนใหญ่ ที่นายทุนทำกันก็แค่เงียบไว้ แล้วรอให้กระแสดับไปเมื่อไร ก็กลับมาเขมือบป่าอีกที นี่ต่างหากที่อาจเป็นรากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง

เพื่อให้ได้รูปร่างช้างที่สมบูรณ์คนตาบอดต้องนำมาเล่าสู่กันฟังอย่างเปิดใจ และประกอบเข้าดด้วยกัน เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาในขณะนี้ เพื่อให้เข้าใจปัญหาที่แท้จริง และแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด รัฐบาลจะต้องเปิดใจรับฟังความคิดเห็น กับผู้ที่มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และร่วมพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างเป็นธรรม (ลงมือปฏิบัติจริง)  เพื่อมาประกอบภาพของปัญหาและหาทางออกที่ยั่งยืนร่วมกัน ทำดั่งนี้ได้สังคมจึงจะมีความเป็นธรรม คนที่ผิดก็ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนชาวบ้านตาดำๆก็จะได้นอนหลับสบายไม่ต้องผวา หลับๆตื่นๆ เช่นทุกวันนี้

ที่น่าห่วงที่สุดคือการแก้ไขปัญกหาที่ไม่ตรงเหตุ มักนำไปสู่วงจรปัญหาใหม่และใหญ่กว่าเสมอ เหมือนกินยาไม่ถูกโรคย่อมมีผลข้างเคียง ชาวบ้าน หรือคนจนจำนวนมากจะรู้สึกว่าถูกกดขี่ และไม่ได้รับความเป็นธรรม และกำลังโดนแย่งชิงสิ่งที่สร้างสมมาอย่างยากเข็ญไปต่อหน้าต่อตา  และเมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่พวกเขาไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป  ลองคิดดูว่าคนจนจำนวนมากของประเทศเขาจะหาทางออกอย่างไร

ขอบคุณภาพจาก dhamadelivery.com

Tuesday, May 12, 2015

Power Transforming.

Power Transforming การเปลี่ยนอำนาจ
การจัดการความรุนแรงแบบ Power Transforming.
            
ปัญหาความขัดแย้ง เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมมนุษย์ สังคมสัตว์ แม้กระทั่งในนิทานหรือตำนานต่างๆ  และมักจะมีอยู่ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับส่วนบุคคล กลุ่มบุคคล ชุมชน สังคม ระดับชาติ หรือนานาชาติ และแน่นอนผลพวงของความขัดแย้งย่อมนำมาซึ่งความรุนแรงเสมอไป หากไม่ได้รับการการแก้ไขอย่างถูกต้อง Creative Conflict Resolution หรือการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ เป็นวิชาที่รวบรวมรูปแบบของความขัดแย้งต่างๆจากทั่วโลก และเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น เพื่อป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น โดยได้จำแนกความรุนแรงไว้ 3 ประเภท ได้แก่

1) ความรุนแรงทางตรง หมายถึงการใช้กำลังประทุษร้ายต่อร่างกาย  จิตใจ หรือทรัพย์สิน รวมทั้งวิธีการข่มขู่คุกคามต่างๆ การด่าทอ ตะคอกหรือเหน็บแนม เป็นต้น

2) ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง  หมายถึงโครงสร้างหรือระบบการปกครอง นโยบาย  กฎหมายต่างๆ รวมทั้งโครงสร้างทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยมักมีสาเหตุมาจากการถูกบีบบังคับ หรือชักจูงเพื่อให้มีการออกแบบโครงสร้างที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมักเป็นคนกลุ่มเล็ก โดยมีผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างคนออกแบบโครงสร้าง กับกลุ่มสนับสนุน ขณะเดียวกันโครงสร้างที่เอื้อต่อกลุ่มหนึ่ง มักจะกระทบต่ออีกกลุ่มหนึ่งเสมอที่เป็นคนส่วนมาก ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม เช่น นักลงทุนล๊อบบี้ให้ตัวแทนรัฐบาลออกกฎหมายให้เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสัมปทานเหมืองแร่, การประมูลสร้างเขื่อน, การผูกขาดทางการตลาดเป็นต้น โดยอาจมีการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์กันภายใน แต่จะมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ต้องคอยแบกรับภาระและผลกระทบที่จะตามมา และยากที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมหรือแก้ไขระบบดังกล่าวได้ เพราะส่วนใหญ่ก็เรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อรัฐบาล  แต่ทั้งรัฐบาลและนายทุนก็ต้องป้องกันตัวเองจากสิ่งที่ได้ทำไว้เช่นกัน

3) ความรุนแรงทางวัฒนธรรม หมายถึงความรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มีสาเหตุมาจากวัฒนธรรม และสามารถสร้างความแตกแยกร้าวลึกในสังคมได้ วัฒนธรรมในที่นี้หมายถึงวัฒนธรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นศาสนา, ประเพณี, ทัศนคติ, วัฒนธรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ เช่น คนเรายังสูบบุหรี่และดื่มเหล้าทั้งที่ทราบถึงผลกระทบที่จะตามมา, การบริโภคอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพียงเพราะค่านิยม, วัฒนธรรมการแสดงออกหรือความรับผิดชอบทางสังคม  การสร้างมายาคติแบบเหมารวมกลุ่ม (Stereotype) หรือการตราหน้าคนทั้งกลุ่มว่าเป็นคนเลว ทั้งที่มีคนทำผิดแค่คนเดียว เป็นต้น  ที่กล่าวมานี้ล้วนแต่เป็นชนวนเหตุแห่งความขัดแย้งได้ทั้งสิ้น

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ที่อำนาจเหนือกว่า กระทำต่อผู้ที่ด้อยอำนาจกว่า ดั้งนั้น หนึ่งในวิธีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ คือการเรียนรู้การจัดการอำนาจที่เป็นสร้างความรุนแรง ด้วยการเปลี่ยนแปลงอำนาจนั้นๆ 

Power Transforming การเปลี่ยนอำนาจ (พลัง)
 
เป็นวิธีการจัดการกับความรุนแรงโดยการเปลี่ยนแปลง  ลดทอน หรือผ่อนถ่ายอำนาจจากร้ายให้กลายเป็นดี ตัวอย่างเช่น  "เรื่องราวของอาจารย์สาวคนหนึ่ง ในประเทศคอสตาริก้า คืนนั้นเธอต้องกลับจากมหาวิทยาลัยดึกกว่าปกติ พร้อมหอบหนังสือกองโตมาด้วย ระหว่างทางที่เป็นซอยเปลี่ยว เธอได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาเร็วมาก และเร็วผิดปกติ เธอจึงรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ทันใดนั้นจึงตัดสินใจหยุดเดินและหันหลังกลับไป พร้อมทั้งส่งยิ้มให้ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้น  แล้วกล่าวว่า "โอ้พอดีเลย  คุณจะเดินไปทางนั้นใช่ไหมค่ะ  ดิฉันรบกวนช่วยถือหนังสือให้หน่อยได้ไหมค่ะ? " ผู้ชายคนนั้นมีท่าทีอ่อนลง และยอมหอบหนังสือไปส่งเธอจนพ้นปากซอย และแยกย้ายกันไป"   ความจริงแล้วผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะทำร้ายอาจารย์สาวคนนี้ แต่ทันทีที่เทอหันหลังกลับแล้วส่งยิ้มให้ ทำให้ชายคนดังกล่าวทำอะไรไม่ถูก และได้สัมผัสถึงความดีใจตัวเอง จึงทำให้พลังหรืออำนาจที่ปองร้ายในตอนต้นเบาลง และหยุดแผนการที่จะทำร้ายคนอื่น

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงอำนาจ ยังหมายรวมถึงการสร้างอำนาจ เสริมพลัง หรือสร้างความมั่นใจได้ด้วยเช่นกัน หรืออาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงพลังอำนาจ จากรูปแบบหนึ่งสู่อีกแบบ เพื่อการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ เหมาะสมและไม่สร้างความขัดแย้งใหม่นั่นเอง